Friday, December 04, 2009

Monday, November 23, 2009

Sunday, November 22, 2009

20091115 Churaumi Aquarium (Replay)




20091108 Shikina En (Replay)




Previous I didn't bring CPL there. But this times, I brought it there. haha

Wednesday, November 18, 2009

Tuesday, November 03, 2009

20091028 China town in Yokohama at night




Bashamichi Ice is the birthplace of ice-cream in Japan. Thank you Chiaki-san for your kindness guide.

20091027 Ginza and Asakusa Temple (Senso ji) at night mode




Monday, November 02, 2009

20091025 Tokyo Tower




20091017 Chanpuru Festiva




ดองนานแระ เกลือจะขึ้น

Monday, October 12, 2009

บทที่ 2 แห่งศึกชักเย่อเชือกยักษ์ ในงาน Naha Matsuri ตอนเที่ยวถนนโคคุไซ

หลังที่เราได้รู้จักคณะเดินทางแล้ว http://foh9.multiply.com/journal/item/38/38 ตอนนี้เราจะมาดูว่าเมื่อวานนี้คณะทัวร์ลูกผสมระหว่าง OIC และ ริวได ไปทำไรมาบ้าง

11 ตุลาคม 2552
วันนี้เป็นวันที่ตื่นสาย ฮ่าๆๆ และตื่นมาพร้อมกับข้อมูลพยากรณ์อากาศว่าฝนจะตก ทำให้จิตใจของผมก็พะว้าพะวงทันที เนื่องจากต้องพาพี่นิกร(Nikon)ไปออกศึก กลัวพี่นิกรไม่สบาย แล้วผมจะแย่ไปด้วย เวลา 9.20น. ผมกับพี่อุออกมาจาก Front B เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทา แสงแดดยังมิอาจจะเบียดตัวเองสอดแทรกทะลุผ่านชั้นความหนาของเมฆมากระทบพื้นดินได้เลย ผมก็พลางคิดไปว่าเมฆทำไมช่างใจร้ายกับผมจัง ทำไมไม่ให้ความหวังกับผมที่จะได้ถ่ายภาพอย่างสบายใจบ้าง เวลา 9.35 น. รถบัสสาย 97 วิ่งมาแต่ไกล และตรงเวลานัดหมายของทางนักศีกษาไทยในม.ริวไดบอกมาเป๊ะ ผมไม่รอช้า สวมวิญญาณนักขึ้นรถเมล์แห่งกรุงสยาม โบกรถเมล์ทันใด ฮ่าๆ รถเมล์คันนี้บรรทุกผู้ร่วมเดินทางสู่สมรภูมิรบด้วย ซึ่งประกอบด้วย อาร์เธอร์ น้องหนิง พี่ไม้ และ น้องอุ้ง จากนั้นไม่นานนักรถเมล์ก็มาถึงถนนโคคุไซ ยังเม้าท์กันบนรถไม่หนำใจเลย ลงที่ป้ายมากิชิ (Makishi) จากนั้นเราก็แวะไปถ่ายรูปที่ศาลเจ้ามากิชิ ซึ่งตรงนั้นคณะที่จะร่วมในขบวนพาเหรด และงานชักเย่อนั้นต้องมาทำพิธี



หลังจากหยุดพักถ่ายรูปเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอแล้ว คณะทัวร์ก็เริ่มออกเดินทางต่อ (จริงๆแล้ว เพราะหัวหน้าคณะทัวร์หิว เลยจะพาไปหาไรกินกัน) เหอๆ ระหว่างทางนั้นอาร์เธอร์ก็ได้แนะนำสินค้าต่างๆ ที่ถูกจำหน่ายในร้านค้าต่างๆ บนถนนสายนี้ ควรจะซื้ออะไรบ้าง อะไรน่าซื้อ เดินไปเรื่อยๆจนถึงหน้าตลาด Heiwa ผมกับพี่อุเรียกว่าตลาดสด ลักษณะเหมือนกับตลาดสดบ้านเราเลยอ่ะครับ จะเห็นอาซิ้ม อาม่า คนแก่ๆ เดินไปเดินมากันให้ควับ ขายของที่ระลึก เสื้อผ้า ถ้าเราไปตามตลาดต่างจังหวัดก็จะรู้สึกได้เช่นกันครับ คณะทัวร์แวะพักทานโชกิโซบะ อร่อยราคาย่อมเยาว์ที่ร้านอินากะ (แปลว่าบ้านนอก) โชกิโซบะเป็นโซบะที่ใส่กระดูกหมูตุ๋นที่รสชาติหอมหวานมาก กระดูกหมูที่เปื่อย เมื่อเอาเข้าปากราวกับว่ากระดูกหมูชิ้นนั้นละลายหายไปในปากเลย หยุดพักกินกันไม่นานเราก็ไปเดินต่อไปยัง Tsuboya ไกด์อาร์เธอร์เรียกว่า ชุมชนด่านเกวียน เหอๆ เป็นแหล่งรวมศิลปินต่างๆ ที่มาบรรจงรังสรรค์ผลงานศิลปะต่างๆในย่านนี้ พอออกมาจาก Tsuboya เราก็ได้พบกับคณะลูกทัวร์สองคนสุดท้าย คือพี่ปุ้มและพี่ตึก

       

ออกมาจากตลาด Heiwa ก็จะมาพบกับขบวนพาเหรดต่างๆ ซึ่งในขบวนนั้นจะประกอบไปด้วยหลายๆกลุ่ม หรือคณะ ที่จะเข้าร่วมพิธีในตอนบ่ายนี้ (และเราก็ได้พบกับพวกเขาบ้างแล้วในตอนทำพิธีที่ศาลเจ้าตอนเช้า) แต่ละคณะนั้นก็งัดการแสดงโชว์ของตนออกมา บ้างก็โชว์คาราเต้ เด็กบ้าง ผู้ใหญ่บ้าง หรือแม้แต่ฝรั่งเองก็ยังมี แต่ที่น่าสนใจคือการยกเสาไม้ไผ่สูงราวสิบเมตร (ผมไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่าอะไรนะครับ รอคุณอาร์เธอร์มาไขความกระจ่างแระกัน) ยกทีละคนสลับกันไป โดยมีข้อแม้ว่าห้ามให้ไม้ไผ่นั้นล้มเด็ดขาด เพราะถือว่าจะนำมาซึ่งความโชคร้าย ขณะที่ขบวนพาเหรดเดินอยู่นั้น คณะลูกทัวร์เราก็ถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์ ส่วนฝนเองก็เริ่มตั้งเค้าว่าจะตก จากนั้นไม่นานฝนก็เริ่มลงเม็ด ผมเองไม่รอช้าคว้าถุงพลาสติกออกมาคลุมพี่นิกรอย่างทันควัน (ฮ่าๆ กลัวพี่นิกรป่วย นวัตกรรมชั้นยอดจากเมืองไทย) แล้วเราก็ไปหลบฝนกันที่ Starbucks สั่ง Creme Brulee ที่น้องหนิงแนะนำมากินอย่างสบายใจ เอิ๊กๆๆ

 ตอนต่อไปจะได้เข้าสู่สมรภูมิรบศึกชักเย่อเชือกยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก

ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่
http://foh9.multiply.com/photos/album/95/
http://foh9.multiply.com/photos/album/96/

ปฐมบทแห่งศึกชักเย่อเชือกยักษ์ ในงาน Naha Matsuri ตอนแนะนำผู้ร่วมเดินทาง

วันนี้เป็นวันหยุด เลยไม่ต้องไปเรียน สบายยยยยย อิอิ เพราะจะได้พักผ่อนหลังจากเมื่อวานไปร่วมศึกชักกะเย่อเชือกยักษ์ของเมืองนาฮา ที่ถนนโคคุไซ (Kokusai Dori) สมาชิกผู้ร่วมเดินทางไปรบครั้งนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะมีนักเรียนไทยที่เรียนที่ริวได (Ryudai) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยใกล้ๆกับที่เรียนผมไปด้วย รวมทั้งสิ้น 8 ชีวิต ไล่เผารายตัวเลยแล้วกันนะครับ ฮ่าๆๆ

1. อาร์เธอร์ หนุ่มรูปร่างอวบนิดๆ (ไม่กล้าว่ามาก เด๋วเข้าตัว) สูงประมาณ 175 เซ็นติเมตร ไม่ประมาณน้ำหนัก ผมสั้น ใส่แว่นตา หน้าใจดีๆ เพราะอาร์เธอร์เป็นคนอารมณ์ดี ชอบยิ้มอยู่ตลอดเวลา คุยเก่ง แต่อย่าได้พลาดเชียวนะ รับรองโดนยิงมุขสวนได้ทุกมุข ฮ่าๆๆ วันนี้อาร์เธอร์มาในฐานะหัวหน้าคณะทัวร์ และไกด์คนสำคัญด้วย เพราะผมได้ความรู้มากมายกับการเดินที่ถนนโคคุไซ ทั้งๆที่ผมมาเกือบทุกอาทิตย์ แต่ไม่เคยรู้ว่าอะไรมากมายอยู่ในถนนโคคุไซ พูดง่ายๆว่า Discovery Kokusai กันเลยทีเดียว

2. หนิง น้องหนิงอายุห่างจากผมประมาณสามปี สูงประมาณ 170 เซ็นติเมตร ผิวคล้ำ ผมยาว ตาตี่ ยิ้มตลอดเวลาเช่นเดียวกับคุณอาร์เธอร์ พอกันบ่อยในโลกออนไลน์ เพราะเธอมักจะเก็บผัก และออนเอ็ม ฮ่าๆๆ น้องหนิงกับคุณอาร์เธอร์มักจะมีไรให้ขำเสมอๆ ยิ่งตอนถ่ายรูปนะ เวลาเจอที่ที่ต้องน้องหนิงต้องการมีรูปตัวเองนะ ก็จะเข้าไปใกล้ๆสิ่งนั้นแล้วหันมาเรียกคุณอาร์เธอร์ไปถ่ายให้ ทุกครั้งคุณอาร์เธอร์ก็จะบ่น แต่ก็ถ่ายให้ทุกครั้งเช่นกัน (เอ๊... ยังไงเนี่ย ถ่ายไปบ่นไป) และน้องหนิงดันทักว่าผมมีพุง เล่นเอาซะเสียความมั่นใจไม่กล้ากินเยอะเลย ฮ่าๆๆ

3. พี่ไม้ เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกเลยยังไม่ค่อยมีไรจะเผา ลักษณะพี่ไม้ผมซอยค่อนข้างสั้น เฮ้วๆ พิจารณาดูแล้วน่าจะลุยพอสมควร เอิ๊กๆๆ  รู้จักวันแรก พี่แกก็เลี้ยงโซบะซะเลย ฮ่าๆๆ ขอบคุณนะครับ

4. น้องอุ้ง เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกเหมือนกันและก็ค่อยหาเรื่องเผาวันหลัง น้องเพิ่งจะเคยมาโอกินาว่าครั้งแรก และเพิ่งมาถึงเมื่ออาทิตย์ก่อน น้องอุ้ง ผอมมากกก สงสัยว่าน้องแกเอาลำไส้กระเพาะไว้ตรงไหนเหรอ และตอนไปร่วมศึกชักกะเย่อ ก็กลัวน้องแกล้มถ้ามีคนเหยียบแล้วจะหักสองท่อนเอา เหอๆ ไม่รู้จะเผาไรแระ ฮ่าๆๆ

5. พี่ปุ้ม หนึ่งในสองผู้อาวุโส ที่ผมเคารพ พี่ปุ้มค่อนข้างอวบ ผมยาวสีดำตรงสลวย เจอกันเป็นครั้งที่สองแล้ว พี่ปุ้มเล่นกล้องด้วย ใช้แคนอน ฝีมือถือว่าเยี่ยมเลยหล่ะครับ ดูจากรูปผมหลายๆรูปแล้ว ฮ่าๆ และทราบมาว่าพี่ปุ้มนี้มีรองเท้าทุกแบบทุกสไตล์

6. พี่ตึก น่าจะเป็นพี่ใหญ่สุดในคณะลูกทัวร์ในวันนี้ พี่ตึกมาทำวิจัยด้านพะยูนกับสัตว์ทะเลที่โอกินาว่า พี่ตึกเป็นคนใจดี มักจะแนะนำน้องๆเสมอ เมื่อวานผมก้ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ตึกเหมือนกัน อิอิ อ้อ... พี่ตึกมีฉายาว่า เจ้าแม่พะยูน นะครับ

ส่วนอีกสองชีวิตที่ร่วมเดินทางนี้ก็คือผมกับพี่อุจาก OIC นั่นเอง เอิ๊กๆๆ



ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่
http://foh9.multiply.com/photos/album/95/
http://foh9.multiply.com/photos/album/96/

20091011 Kokusai Dori (Naha Matsuri) Part 2




The biggest Tug-of-War in the world.

20091011 Kokusai Dori (Naha Matsuri) Part 1




Sunday, October 11, 2009

Sunday, September 27, 2009

20090926 Onomiya Park and Iseya ramen shop




I took by using my new baby. Tamron 11-18 mm F/4.5-5.6
Super wide angle lens

Saturday, September 26, 2009

Saturday, September 19, 2009

20090919 Kinser Festival




20090913 Tropical Beach




เผาเพื่อนร่วมชั้น ตอนที่ 3

ความเดิมจากตอนที่แล้ว

เผาเพื่อนในห้องเรียน ตอนที่ 1

เผาเพื่อนในห้องเรียน ตอนที่ 2

วันนี้เป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อ ทั้งๆที่เป็นวันเริ่มต้นของการหยุดยาว เฮ้อ... ฝนดันตกซะนี่ ทำไมวันที่มีเรียนมันไม่ตกฟร่ะเนี่ย ตรูหล่ะเซ็ง วันนี้ตั้งใจจะไปชายหาดแห่งเดียวในเมืองนาฮาซะหน่อย เซร็งงงง ก็เลยมานั่งเผาเพื่อนในห้องตอนจบดีกว่า อิอิ

มาถึงอวสานแห่งบล็อกไตรภาคเรื่องเผาเพื่อนในห้องเรียนแล้วนะครับ สองตอนที่ผ่านมากระแสตอบรับค่อนข้างแรงใช้ได้ ฮ่าๆๆ ผ่านมาแล้วทั้งหมด 9 คน เหลืออีก 2 คน (ไม่รวมคนไทยนะครับ อิอิ) มาดูต่อกันเลยดีกว่า

10. มาลกิ  เพื่อนชาวซาอุดิอาระเบีย รูปร่างสูงประมาณ 180 ซม. ไม่อ้วนเท่าไหร่นัก (ถ้าเทียบกับผม เหอๆ) ผมสั้นและค่อนข้างบาง นั่งเรียนโต๊ะอยู่ข้างๆกัน ซาอุดิอาระเบียก็รู้ๆกันอยู่ว่าประเทศนี้มีแต่คนรวย ดังนั้นมุขของมาลกินั้นก็จะเป็นเชิงของคนรวย อย่างเช่นว่า เทียระ (เพื่อนร่วมชั้นชาวกัมพูชา ถ้าจำไม่ได้อ่านตอน 1) คำพูดฮิตติดปากของเขาคือ "No budget" หรือ "Need more budget" จะไปเที่ยวไหนทั้งกลุ่ม หรือจะทำไรที่จะต้องออกเงินเทียระก็มักจะบ่นคำนี้ แต่มาลกิจะพูดตรงข้ามกัน หรือตอนเรียนวิชาโอเพ่นซอร์ส ทุกๆประเทศบอกว่าจะนำไปใช้เพื่อประหยัดงบประมาณ แต่มาลกิจะบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องงบ เลยจะใช้ลิขสิทธิ์ เหอๆ มาลกิอย่าให้ได้จับคู่กับฟรังโก้เชียวนะครับ (เพื่อนจากระวันดา อ่านได้ในตอนที่ 2) เหตุผลหน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่ามันคุยๆกันอยู่ ก็หัวเราะแบบขำจนหยุดไม่ได้ บางครั้งมุขมันก็ไม่รู้จะขำบรรทัดไหน แต่มันสองคนก็ขำกันได้ (เอ่อออ เอาเข้าไป) มาลกิเป็นชาวอิสลามคนเดียวในห้อง ดังนั้นในช่วงเทศกาลถือศีลอด จะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้กินข้าวเช้าและเที่ยงที่โรงอาหาร และจะยิ่งน่าสงสารกว่าในวันที่จะต้องออกไปข้างนอก ฮ่าๆๆ มีครั้งนึงผมคุยกับเขาว่าผมจะไปพิพิธภัณฑ์โอกินาว่ากับพี่อุ เขาสนใจจะไปมาก ก็เลยโอเค ไปด้วยกัน ผมพาเดินท่ามกลางแสงแดดที่สุดแสนจะทรมาน (ถ้าลองมาเดิน ก็จะคิดว่าทำไมตรูต้องมาทรมานตัวเองอย่างนี้ด้วยฟ่ะ นอนอยู่ห้องเฉยๆก็ไม่มีใครว่านะ) พอไปใกล้ถึงพิพิธภัณฑ์ผมกับพี่อุก็ซื้อน้ำคนละขวด ดื่มอย่างอร่อย แต่ว่า.... มาลกินั่นทานไม่ได้ และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกผิดที่พาเขาไปทรมาน ฮ่าๆๆ อีกครั้งนึงตอนไปบัสทัวร์ที่ Churaumi Aquarium ทั้งรถบัสกินกัน แต่มาลกิคนเดียวทานไม่ได้ เหอๆ อย่างไรก็ตามมาลกิเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก นิสัยดี

11. มาถึงคนสุดท้ายของห้องแล้วนะครับ นั่นก็คือเพื่อนชาวเวียตนาม นามว่า "หล๋อง" หรือถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ Long ที่แปลว่ายาวอ่ะครับ ฉายาที่ถูกตั้งให้คือ นาไก ซัง (Nagai ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า Long) ไม่ใช่เพราะชื่อเท่านั้นนะครับที่ตั้งฉายาให้แบบนี้ เนื่องด้วยตัวของหล๋องนั้นสุงผอม(มาก) จนพี่น้องเคยฝากผมไปถามว่าเก็บกระเพาะให้ตรงไหนหล๋องไว้ผมเท่ห์มากครับ (เมื่อสมัยเต๋าสมชายออกอัลบัมชุดแรกๆ เด็กๆคงเกิดกันไม่ทันใช่มั้ย) เป็นผมทรงบ็อบเท ปัดข้างหมดหัว ถ้าคาดผ้าเช็ดหน้าที่หัวหน่อยนะ ใช่เลย พี่เต๋าสมชาย ฮ่าๆๆ หล๋องเป็นคนเงียบๆนิสัยดี เรียบร้อย(มาก) จนมักจะถูกไอ้ซันเกย์(ชาวภูฏาณ อ่านได้จากตอนที่ 1)แกล้งเป็นประจำ มันชอบไปใกล้ๆหล๋องแล้วก็เรียกชื่อว่า หล๋องซัง ดังๆ หล๋องก็จะสะดุ้ง ที่บอกว่าหล๋องเป็นคนเงียบๆนั้นอาจจะเป็นเพราะภาษาอังกฤษของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทำให้เขามักจะยิ้มเสมอเมื่อถูกถาม (พูดยังกับว่าภาษาของผมดีนักเนี่ย -_-") เวลามีอธิปรายหน้าชั้นเรียน หล๋องก็มักจะพูดเบาเสมอ จนมีเมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขาชัดเวลาอภิปรายหน้าชั้น หล๋องซังเป็นคนขยันเดินมาก เพราะทุกครั้งเราจะเห็นหล๋องมากินข้าวด้วยชุดเสื้อสีขาวกางเกงขาสั้น จากนั้นเวลาจะเข้าเรียน เราก็จะเห็นเขาเปลี่ยนชุดเพื่อเข้าเรียน (ยังกับว่าชุดเสื้อขาวตัวใหญ่ๆ กับกางเกงขาสั้น น้ันเป็นยูนิฟอร์มสำหรับกินข้าว ยังไงยังงั้นเลยครับ เหอๆ) ขึ้นลงบันไดมากกว่า 60 ขั้นเพื่อไปกินข้าวแล้วก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วยังต้องเดินกลับไปเรียนที่ตึกใกล้ๆกับโรงอาหารอีก ฮ่าๆๆ ขยันจิงเว้ย 

เผาเท่านี้ดีกว่า ฮ่าๆๆ พอหอมปากหอมคอ 

จากสามตอนที่ผ่าน ลองเดาดูนะครับ ว่าใครชื่ออะไรบ้าง ฮ่าๆๆ  ใบ้นิดนึงว่า คนที่ไม่มีบัตรคล้องคอคือเพื่อนในห้องเรียนผมนะครับ ฮ่าๆๆ

http://foh9.multiply.com/photos/album/88/Photo_Album_2009-09-18

Photo Album 2009-09-18




Saturday, September 12, 2009

Friday, September 11, 2009

1 เดือนเต็มในโอกินาว่า

วันนี้ก็เป็นวันที่ครบ 1 เดือนเต็มที่ผมมาอยู่ที่โอกินาว่า ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และเพื่อนใหม่มากมาย ผมเองก็ไม่รู้จะเล่าอะไร วันนี้เหนื่อยๆกับการเรียนในห้องเรียนกับเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่อยากจะบอกว่าวันนี้ครบ 1 เดือนแล้ว คิดถึงอาหารไทยจัง

 อิอิ พรุ่งนี้จะไปเที่ยว แล้วจะถ่ายรูปมาฝากนะครับพี่น้อง

Sunday, September 06, 2009

Okinawa Churaumi Aquarium ตู้ปลายักษ์ ตอนที่ 2

ต่อจากตอนที่แล้ว Okinawa Churaumi Aquarium ตู้ปลายักษ์ ตอนที่ 1

ความเดิมจากตอนที่แล้วนั้น เราไปเยี่ยมชมกันไปสองชั้นแล้วโดยที่ชั้น 4F นั้นเป็นที่ที่เรารับประทานอาหารกัน และชั้น 3F เป็นทางเข้า Aquarium และชมความงามของประการังที่มีชีวิตตามธรรมชาติและถูกจัดโชว์ไว้ในตู้ปลา ตอนนี้เราจะลงลึกสู่ใต้มหาสมุทรอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่จัดได้ว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่นั่นก็คือ ตู้ปลายักษ์นั่นเอง

 หลังจากเดินผ่านเข้าไปก่อนถึงตู้ปลายักษ์นั้น จะต้องผ่านส่วนที่เป็นเหมือนนิทรรศการแสดงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล โดยถูกจัดเป็นบูตๆต่อๆกันไปเรื่อยๆ มีตั้งแต่กุ้ง ปลาหลากหลายชนิด งูทะเล ปลิงทะเล หอยเม่น ฯลฯ แต่ที่ผมชอบมากที่สุด คือการจำลองว่าถ้ามีคนเผลอไปเหยียบสิ่งมีชีวิตพวกนี้เข้ามันจะมีปฏิกริยาอย่างไร กุ้งยักษ์เป็นเหมือนกุ้งมังกรแต่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนใหญ่เท่านี้มาก่อนเลยครับ พวกเราก็หยุดชมกันเป็นระยะ ที่แห่งนี้ถ้าเหมือนกับสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด (สนามของทีมแมนยู) ก็คงเห็นอุโมงค์ที่ออกจากห้องแต่งตัวไปยังสนามนั่นแหล่ะ เราใช้เวลาที่โซนนี้ไม่นาน เพราะเราตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่อไปที่เราจะได้เจอมากกว่า

เพียงชั่วอึดใจเราก็จะตื่นเต้นกับตู้ปลาอะคลีลิคที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากด้านข้างของมัน มันทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะต้องรีบเร่งฝึเท้าเข้าไปชมความงามจากด้านหน้าของตู้ปลานี้ เมื่อผมเดินผ่านด้านข้างของตู้โดยที่ผมไม่หยุดแม้แต่จะถ่ายรูปสักใบเดียวจนออกมาถึงด้านหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้สึกผมตอนนั้นมันเหมือนหยุดนิ่งไปหมดไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของผมที่กำลังก้าวอยู่ ไม่ได้ยินเสียงผู้คนมากมายที่คุยกัน พลันในหัวของผมไม่มีคำบรรยายใดๆ ที่จะเอ่ยออกมาได้ มันอลังการมากเลยครับ ด้วยขนาดของตู้นั้นมีความกว้าง 22.5 เมตร สูง 8.2 เมตร และมีความหนาถึง 2 ฟุตเลยทีเดียว เหมือนกับผมกำลังยืนอยู่ด้านหน้าจอภาพยนต์ที่กำลังฉายหนังที่มีตัวเอกของเรื่องเป็นฉลามวาฬตัวใหญ่แวกว่ายอยู่ในใต้ท้องทะเล มีแสงแดดสาดส่องลงมาทำให้เราได้เห็นความงามใต้ท้องทะเลได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากตัวเอกแล้วตัวรองของเรื่องนี้ก็คงต้องยกให้กับเจ้ากระเบนยักษ์ และฝูงปลาน้อยใหญ่หลากสีที่ว่ายกันเป็นกลุ่มก้อนมากมาย ผู้คนมากมายกำลังยืนดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ บ้างก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเสียงชัตเตอร์ แช๊ะ แช๊ะ ดังอย่างไม่ขาดสาย และสลับกับแสงแฟลชส่องให้วูบวาบเป็นระยะๆ แต่ภาพที่ผมต้องการอย่างได้คือ ภาพความงดงามของตู้ปลาพร้อมด้วยผู้คนที่กำลังตื่นเต้นกับความงดงามนี้ ซึ่งภาพก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ

 หลังจากที่หยุดอึ้งกับความงามสักพักใหญ่ๆ ที่ห้องเล็กๆด้านบนนั้นจะจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับปลาฉลาม ซึ่งผมใช้เวลาไม่นานครับ เพราะอยากมาสัมผัสกับความรู้สึกตู้ปลาขนาดใหญ่นี้ต่อ ในห้องแสดงปลาฉลามนั้นจะมีตู้ปลาฉลามที่เลี้ยงฉลามหลากหลายชนิด และแสดงกระดูกขากรรไกร และความน่ากลัวของฟัน แค่กระดูกนั้นก็คงทำให้ใครหลายคนไม่อยากจะคิดว่าถ้าหากมันงับที่ขาเราจะเป็นอย่างไร น่าสยดสยองมากมาย

ตอนนี้เราก็เหลืออีกชั้นสุดท้ายแล้วก่อนที่จะออกไปข้างนอก เพื่อไปดูโชว์ต่างๆ ชั้น 1F เป็นชั้นที่จัดแสดงความงดงามของใต้ทะเลลึก ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นค่อนข้างมืด มืดซะจนผมไม่สามารถเก็บภาพมาฝากได้เลย ลองจินตการกับสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปแล้วกันนะครับ เมื่อมาถึงโซนนี้แสงต่างๆเริ่มลดน้อย เปรียบเสมือนกับเรากำลังดำลงมาสู่ก้นมหาสมุทร แท้จริงแล้วทางพิพิธภัณฑ์นั้นต้องการจำลองบรรยากาศให้เหมือนจริงมากที่สุด เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆที่จัดแสดงนั้นสามารถดำรงชีวิตไปได้โดยปกติ ตอนนี้ทางขวามือของผมเป็นตู้ขนาดใหญ่ ข้างในนั้นค่อนข้างมืดแต่ก็ยังพอมองเห็นได้บ้าง บนพื้นภายในตู้นั้นผมเห็นปูตัวใหญ่มาก น่าจะเป็นปูอลาสก้าหรือป่าวไม่แนใจเหมือนกัน และปลาต่างๆ ก็ว่ายไปมา แต่จุดที่ผมสนใจคือห้อง Ocean Planetation เป็นห้องที่มีผ้าสีดำกั้นหน้าห้อง เหมือนกับว่าข้างในนั้นมีความลับให้น่าค้นหา (ถ้าเป็นตามห้างร้านหนังสือหรือวีดีโอ ก็คงเป็นโซนที่เด็กต่ำกว่า 18 ปีเข้า เหอๆ) ข้างในนั้นจะแบ่งเป็นตู้ย่อยๆขนาดไม่ใหญ่มาก พอจัดแสดงสิ่งมาชีวิตต่างๆ ได้ ประการังเรืองแสงได้ก็มี เห็นเป็นสีส้ม สีม่วง สีฟ้า ดูแล้วช่างงามตาจริง แต่โดยส่วนตัวแล้วผมยกให้ไฮไลท์ของห้องนี้คือปลา Lanterneye fish เนื่องจากว่าปลานี้ทำให้ผมนึกถึงหิ่งห้อยที่เรืองแสงกำลังว่ายน้ำอยู่นั่นเอง เนื่องจากว่าที่ใต้ตาของปลาชนิดนี้นั้นมีเหมือนสารเรืองแสงได้ ทำให้เราจึงเห็นแสงนี้ลอยไปลอยมานั่นเอง หลังจากเดินชมความงดงามในโซนนี้เสร็จ ออกมากก็ต้องไม่มีพลาดแน่นอนสำหรับที่ขายของฝากที่ระลึกต่างๆ เอาไว้เพื่อดูดเงินจากนักท่องเที่ยวหรือผู้เยี่ยมชม อิอิ แล้วก็เป็นทางออก ซึ่งสำหรับผู้ที่จะกลับเข้าไปข้างในใหม่นั้นจะต้องให้เจ้าหน้าที่ประทับตราที่แขนสำหรับเข้าไปด้านในอีกครั้งได้

ออกมาด้านนอกก็ต้องหยุดถ่ายภาพกับอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้หน่อยครับ ท้องฟ้ายามบ่ายพระอาทิตย์สาดแสงเข้ามาที่อาคาร ทำให้ผมใช้ฟิลเตอร์ได้อย่างสบายใจ ก็ไม่รอช้าสอยไปเลย อิอิ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ความงดงามและความยิ่งใหญ่ของ Aquarium ที่ถูกจัดให้มีความใหญ่เป็นอันดับสองของโลก คงตื่นตากันไม่น้อยเลยนะครับ ถ้ามีโอกาสมาโอกินาว่า ที่แห่งนี้ต้องห้ามพลาดเลยครับ ตอนต่อไปนั้นผมจะพาไปเที่ยวไหน ติดตามต่อไปนะครับ อิอิ  

ติดตามชมภาพทั้งหมดได้ที่ http://foh9.multiply.com/photos/album/86