Sunday, September 27, 2009

20090926 Onomiya Park and Iseya ramen shop




I took by using my new baby. Tamron 11-18 mm F/4.5-5.6
Super wide angle lens

Saturday, September 26, 2009

Saturday, September 19, 2009

20090919 Kinser Festival




20090913 Tropical Beach




เผาเพื่อนร่วมชั้น ตอนที่ 3

ความเดิมจากตอนที่แล้ว

เผาเพื่อนในห้องเรียน ตอนที่ 1

เผาเพื่อนในห้องเรียน ตอนที่ 2

วันนี้เป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อ ทั้งๆที่เป็นวันเริ่มต้นของการหยุดยาว เฮ้อ... ฝนดันตกซะนี่ ทำไมวันที่มีเรียนมันไม่ตกฟร่ะเนี่ย ตรูหล่ะเซ็ง วันนี้ตั้งใจจะไปชายหาดแห่งเดียวในเมืองนาฮาซะหน่อย เซร็งงงง ก็เลยมานั่งเผาเพื่อนในห้องตอนจบดีกว่า อิอิ

มาถึงอวสานแห่งบล็อกไตรภาคเรื่องเผาเพื่อนในห้องเรียนแล้วนะครับ สองตอนที่ผ่านมากระแสตอบรับค่อนข้างแรงใช้ได้ ฮ่าๆๆ ผ่านมาแล้วทั้งหมด 9 คน เหลืออีก 2 คน (ไม่รวมคนไทยนะครับ อิอิ) มาดูต่อกันเลยดีกว่า

10. มาลกิ  เพื่อนชาวซาอุดิอาระเบีย รูปร่างสูงประมาณ 180 ซม. ไม่อ้วนเท่าไหร่นัก (ถ้าเทียบกับผม เหอๆ) ผมสั้นและค่อนข้างบาง นั่งเรียนโต๊ะอยู่ข้างๆกัน ซาอุดิอาระเบียก็รู้ๆกันอยู่ว่าประเทศนี้มีแต่คนรวย ดังนั้นมุขของมาลกินั้นก็จะเป็นเชิงของคนรวย อย่างเช่นว่า เทียระ (เพื่อนร่วมชั้นชาวกัมพูชา ถ้าจำไม่ได้อ่านตอน 1) คำพูดฮิตติดปากของเขาคือ "No budget" หรือ "Need more budget" จะไปเที่ยวไหนทั้งกลุ่ม หรือจะทำไรที่จะต้องออกเงินเทียระก็มักจะบ่นคำนี้ แต่มาลกิจะพูดตรงข้ามกัน หรือตอนเรียนวิชาโอเพ่นซอร์ส ทุกๆประเทศบอกว่าจะนำไปใช้เพื่อประหยัดงบประมาณ แต่มาลกิจะบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องงบ เลยจะใช้ลิขสิทธิ์ เหอๆ มาลกิอย่าให้ได้จับคู่กับฟรังโก้เชียวนะครับ (เพื่อนจากระวันดา อ่านได้ในตอนที่ 2) เหตุผลหน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่ามันคุยๆกันอยู่ ก็หัวเราะแบบขำจนหยุดไม่ได้ บางครั้งมุขมันก็ไม่รู้จะขำบรรทัดไหน แต่มันสองคนก็ขำกันได้ (เอ่อออ เอาเข้าไป) มาลกิเป็นชาวอิสลามคนเดียวในห้อง ดังนั้นในช่วงเทศกาลถือศีลอด จะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้กินข้าวเช้าและเที่ยงที่โรงอาหาร และจะยิ่งน่าสงสารกว่าในวันที่จะต้องออกไปข้างนอก ฮ่าๆๆ มีครั้งนึงผมคุยกับเขาว่าผมจะไปพิพิธภัณฑ์โอกินาว่ากับพี่อุ เขาสนใจจะไปมาก ก็เลยโอเค ไปด้วยกัน ผมพาเดินท่ามกลางแสงแดดที่สุดแสนจะทรมาน (ถ้าลองมาเดิน ก็จะคิดว่าทำไมตรูต้องมาทรมานตัวเองอย่างนี้ด้วยฟ่ะ นอนอยู่ห้องเฉยๆก็ไม่มีใครว่านะ) พอไปใกล้ถึงพิพิธภัณฑ์ผมกับพี่อุก็ซื้อน้ำคนละขวด ดื่มอย่างอร่อย แต่ว่า.... มาลกินั่นทานไม่ได้ และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกผิดที่พาเขาไปทรมาน ฮ่าๆๆ อีกครั้งนึงตอนไปบัสทัวร์ที่ Churaumi Aquarium ทั้งรถบัสกินกัน แต่มาลกิคนเดียวทานไม่ได้ เหอๆ อย่างไรก็ตามมาลกิเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก นิสัยดี

11. มาถึงคนสุดท้ายของห้องแล้วนะครับ นั่นก็คือเพื่อนชาวเวียตนาม นามว่า "หล๋อง" หรือถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ Long ที่แปลว่ายาวอ่ะครับ ฉายาที่ถูกตั้งให้คือ นาไก ซัง (Nagai ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า Long) ไม่ใช่เพราะชื่อเท่านั้นนะครับที่ตั้งฉายาให้แบบนี้ เนื่องด้วยตัวของหล๋องนั้นสุงผอม(มาก) จนพี่น้องเคยฝากผมไปถามว่าเก็บกระเพาะให้ตรงไหนหล๋องไว้ผมเท่ห์มากครับ (เมื่อสมัยเต๋าสมชายออกอัลบัมชุดแรกๆ เด็กๆคงเกิดกันไม่ทันใช่มั้ย) เป็นผมทรงบ็อบเท ปัดข้างหมดหัว ถ้าคาดผ้าเช็ดหน้าที่หัวหน่อยนะ ใช่เลย พี่เต๋าสมชาย ฮ่าๆๆ หล๋องเป็นคนเงียบๆนิสัยดี เรียบร้อย(มาก) จนมักจะถูกไอ้ซันเกย์(ชาวภูฏาณ อ่านได้จากตอนที่ 1)แกล้งเป็นประจำ มันชอบไปใกล้ๆหล๋องแล้วก็เรียกชื่อว่า หล๋องซัง ดังๆ หล๋องก็จะสะดุ้ง ที่บอกว่าหล๋องเป็นคนเงียบๆนั้นอาจจะเป็นเพราะภาษาอังกฤษของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทำให้เขามักจะยิ้มเสมอเมื่อถูกถาม (พูดยังกับว่าภาษาของผมดีนักเนี่ย -_-") เวลามีอธิปรายหน้าชั้นเรียน หล๋องก็มักจะพูดเบาเสมอ จนมีเมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขาชัดเวลาอภิปรายหน้าชั้น หล๋องซังเป็นคนขยันเดินมาก เพราะทุกครั้งเราจะเห็นหล๋องมากินข้าวด้วยชุดเสื้อสีขาวกางเกงขาสั้น จากนั้นเวลาจะเข้าเรียน เราก็จะเห็นเขาเปลี่ยนชุดเพื่อเข้าเรียน (ยังกับว่าชุดเสื้อขาวตัวใหญ่ๆ กับกางเกงขาสั้น น้ันเป็นยูนิฟอร์มสำหรับกินข้าว ยังไงยังงั้นเลยครับ เหอๆ) ขึ้นลงบันไดมากกว่า 60 ขั้นเพื่อไปกินข้าวแล้วก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วยังต้องเดินกลับไปเรียนที่ตึกใกล้ๆกับโรงอาหารอีก ฮ่าๆๆ ขยันจิงเว้ย 

เผาเท่านี้ดีกว่า ฮ่าๆๆ พอหอมปากหอมคอ 

จากสามตอนที่ผ่าน ลองเดาดูนะครับ ว่าใครชื่ออะไรบ้าง ฮ่าๆๆ  ใบ้นิดนึงว่า คนที่ไม่มีบัตรคล้องคอคือเพื่อนในห้องเรียนผมนะครับ ฮ่าๆๆ

http://foh9.multiply.com/photos/album/88/Photo_Album_2009-09-18

Photo Album 2009-09-18




Saturday, September 12, 2009

Friday, September 11, 2009

1 เดือนเต็มในโอกินาว่า

วันนี้ก็เป็นวันที่ครบ 1 เดือนเต็มที่ผมมาอยู่ที่โอกินาว่า ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และเพื่อนใหม่มากมาย ผมเองก็ไม่รู้จะเล่าอะไร วันนี้เหนื่อยๆกับการเรียนในห้องเรียนกับเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่อยากจะบอกว่าวันนี้ครบ 1 เดือนแล้ว คิดถึงอาหารไทยจัง

 อิอิ พรุ่งนี้จะไปเที่ยว แล้วจะถ่ายรูปมาฝากนะครับพี่น้อง

Sunday, September 06, 2009

Okinawa Churaumi Aquarium ตู้ปลายักษ์ ตอนที่ 2

ต่อจากตอนที่แล้ว Okinawa Churaumi Aquarium ตู้ปลายักษ์ ตอนที่ 1

ความเดิมจากตอนที่แล้วนั้น เราไปเยี่ยมชมกันไปสองชั้นแล้วโดยที่ชั้น 4F นั้นเป็นที่ที่เรารับประทานอาหารกัน และชั้น 3F เป็นทางเข้า Aquarium และชมความงามของประการังที่มีชีวิตตามธรรมชาติและถูกจัดโชว์ไว้ในตู้ปลา ตอนนี้เราจะลงลึกสู่ใต้มหาสมุทรอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่จัดได้ว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่นั่นก็คือ ตู้ปลายักษ์นั่นเอง

 หลังจากเดินผ่านเข้าไปก่อนถึงตู้ปลายักษ์นั้น จะต้องผ่านส่วนที่เป็นเหมือนนิทรรศการแสดงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล โดยถูกจัดเป็นบูตๆต่อๆกันไปเรื่อยๆ มีตั้งแต่กุ้ง ปลาหลากหลายชนิด งูทะเล ปลิงทะเล หอยเม่น ฯลฯ แต่ที่ผมชอบมากที่สุด คือการจำลองว่าถ้ามีคนเผลอไปเหยียบสิ่งมีชีวิตพวกนี้เข้ามันจะมีปฏิกริยาอย่างไร กุ้งยักษ์เป็นเหมือนกุ้งมังกรแต่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนใหญ่เท่านี้มาก่อนเลยครับ พวกเราก็หยุดชมกันเป็นระยะ ที่แห่งนี้ถ้าเหมือนกับสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด (สนามของทีมแมนยู) ก็คงเห็นอุโมงค์ที่ออกจากห้องแต่งตัวไปยังสนามนั่นแหล่ะ เราใช้เวลาที่โซนนี้ไม่นาน เพราะเราตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่อไปที่เราจะได้เจอมากกว่า

เพียงชั่วอึดใจเราก็จะตื่นเต้นกับตู้ปลาอะคลีลิคที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากด้านข้างของมัน มันทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะต้องรีบเร่งฝึเท้าเข้าไปชมความงามจากด้านหน้าของตู้ปลานี้ เมื่อผมเดินผ่านด้านข้างของตู้โดยที่ผมไม่หยุดแม้แต่จะถ่ายรูปสักใบเดียวจนออกมาถึงด้านหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้สึกผมตอนนั้นมันเหมือนหยุดนิ่งไปหมดไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของผมที่กำลังก้าวอยู่ ไม่ได้ยินเสียงผู้คนมากมายที่คุยกัน พลันในหัวของผมไม่มีคำบรรยายใดๆ ที่จะเอ่ยออกมาได้ มันอลังการมากเลยครับ ด้วยขนาดของตู้นั้นมีความกว้าง 22.5 เมตร สูง 8.2 เมตร และมีความหนาถึง 2 ฟุตเลยทีเดียว เหมือนกับผมกำลังยืนอยู่ด้านหน้าจอภาพยนต์ที่กำลังฉายหนังที่มีตัวเอกของเรื่องเป็นฉลามวาฬตัวใหญ่แวกว่ายอยู่ในใต้ท้องทะเล มีแสงแดดสาดส่องลงมาทำให้เราได้เห็นความงามใต้ท้องทะเลได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากตัวเอกแล้วตัวรองของเรื่องนี้ก็คงต้องยกให้กับเจ้ากระเบนยักษ์ และฝูงปลาน้อยใหญ่หลากสีที่ว่ายกันเป็นกลุ่มก้อนมากมาย ผู้คนมากมายกำลังยืนดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ บ้างก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเสียงชัตเตอร์ แช๊ะ แช๊ะ ดังอย่างไม่ขาดสาย และสลับกับแสงแฟลชส่องให้วูบวาบเป็นระยะๆ แต่ภาพที่ผมต้องการอย่างได้คือ ภาพความงดงามของตู้ปลาพร้อมด้วยผู้คนที่กำลังตื่นเต้นกับความงดงามนี้ ซึ่งภาพก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ

 หลังจากที่หยุดอึ้งกับความงามสักพักใหญ่ๆ ที่ห้องเล็กๆด้านบนนั้นจะจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับปลาฉลาม ซึ่งผมใช้เวลาไม่นานครับ เพราะอยากมาสัมผัสกับความรู้สึกตู้ปลาขนาดใหญ่นี้ต่อ ในห้องแสดงปลาฉลามนั้นจะมีตู้ปลาฉลามที่เลี้ยงฉลามหลากหลายชนิด และแสดงกระดูกขากรรไกร และความน่ากลัวของฟัน แค่กระดูกนั้นก็คงทำให้ใครหลายคนไม่อยากจะคิดว่าถ้าหากมันงับที่ขาเราจะเป็นอย่างไร น่าสยดสยองมากมาย

ตอนนี้เราก็เหลืออีกชั้นสุดท้ายแล้วก่อนที่จะออกไปข้างนอก เพื่อไปดูโชว์ต่างๆ ชั้น 1F เป็นชั้นที่จัดแสดงความงดงามของใต้ทะเลลึก ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นค่อนข้างมืด มืดซะจนผมไม่สามารถเก็บภาพมาฝากได้เลย ลองจินตการกับสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปแล้วกันนะครับ เมื่อมาถึงโซนนี้แสงต่างๆเริ่มลดน้อย เปรียบเสมือนกับเรากำลังดำลงมาสู่ก้นมหาสมุทร แท้จริงแล้วทางพิพิธภัณฑ์นั้นต้องการจำลองบรรยากาศให้เหมือนจริงมากที่สุด เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆที่จัดแสดงนั้นสามารถดำรงชีวิตไปได้โดยปกติ ตอนนี้ทางขวามือของผมเป็นตู้ขนาดใหญ่ ข้างในนั้นค่อนข้างมืดแต่ก็ยังพอมองเห็นได้บ้าง บนพื้นภายในตู้นั้นผมเห็นปูตัวใหญ่มาก น่าจะเป็นปูอลาสก้าหรือป่าวไม่แนใจเหมือนกัน และปลาต่างๆ ก็ว่ายไปมา แต่จุดที่ผมสนใจคือห้อง Ocean Planetation เป็นห้องที่มีผ้าสีดำกั้นหน้าห้อง เหมือนกับว่าข้างในนั้นมีความลับให้น่าค้นหา (ถ้าเป็นตามห้างร้านหนังสือหรือวีดีโอ ก็คงเป็นโซนที่เด็กต่ำกว่า 18 ปีเข้า เหอๆ) ข้างในนั้นจะแบ่งเป็นตู้ย่อยๆขนาดไม่ใหญ่มาก พอจัดแสดงสิ่งมาชีวิตต่างๆ ได้ ประการังเรืองแสงได้ก็มี เห็นเป็นสีส้ม สีม่วง สีฟ้า ดูแล้วช่างงามตาจริง แต่โดยส่วนตัวแล้วผมยกให้ไฮไลท์ของห้องนี้คือปลา Lanterneye fish เนื่องจากว่าปลานี้ทำให้ผมนึกถึงหิ่งห้อยที่เรืองแสงกำลังว่ายน้ำอยู่นั่นเอง เนื่องจากว่าที่ใต้ตาของปลาชนิดนี้นั้นมีเหมือนสารเรืองแสงได้ ทำให้เราจึงเห็นแสงนี้ลอยไปลอยมานั่นเอง หลังจากเดินชมความงดงามในโซนนี้เสร็จ ออกมากก็ต้องไม่มีพลาดแน่นอนสำหรับที่ขายของฝากที่ระลึกต่างๆ เอาไว้เพื่อดูดเงินจากนักท่องเที่ยวหรือผู้เยี่ยมชม อิอิ แล้วก็เป็นทางออก ซึ่งสำหรับผู้ที่จะกลับเข้าไปข้างในใหม่นั้นจะต้องให้เจ้าหน้าที่ประทับตราที่แขนสำหรับเข้าไปด้านในอีกครั้งได้

ออกมาด้านนอกก็ต้องหยุดถ่ายภาพกับอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้หน่อยครับ ท้องฟ้ายามบ่ายพระอาทิตย์สาดแสงเข้ามาที่อาคาร ทำให้ผมใช้ฟิลเตอร์ได้อย่างสบายใจ ก็ไม่รอช้าสอยไปเลย อิอิ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ความงดงามและความยิ่งใหญ่ของ Aquarium ที่ถูกจัดให้มีความใหญ่เป็นอันดับสองของโลก คงตื่นตากันไม่น้อยเลยนะครับ ถ้ามีโอกาสมาโอกินาว่า ที่แห่งนี้ต้องห้ามพลาดเลยครับ ตอนต่อไปนั้นผมจะพาไปเที่ยวไหน ติดตามต่อไปนะครับ อิอิ  

ติดตามชมภาพทั้งหมดได้ที่ http://foh9.multiply.com/photos/album/86

Okinawa Churaumi Aquarium ตู้ปลายักษ์ ตอนที่ 1

หลังจากตรากตรำเรียนๆ สอบๆ มาทั้งสัปดาห์ ถึงเวลาที่จะได้พักเสียที มันเหมือนกับสมัยนักเรียนที่รอว่าเมื่อไหร่จะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ จะได้หยุดอยู่บ้าน ดูการ์ตูน หรือออกไปเที่ยวเล่น อิอิ สัปดาห์นี้เป็นการเดินทางที่ผมชอบมากที่สุด เพราะสถานที่ที่ผมจะได้ไปนั้นเป็นที่ทีจัดได้ว่าเป็นไฮไลท์ของการมาที่โอกินาว่าเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ Churaumi Aquarium เพราะว่า ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระดับโลก ที่ผู้ชมสามารถใก5 ล้ชิดกับสัตว์น้ำได้แบบใกล้ชิดจริงๆ จุดเด่นของที่นี่คือ ตู้ปลาพลาสติกอะคลีลิคที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงกับได้ลง Guiness's Book ใหญ่ขนาดจุปลาฉลามวาฬ ปลากระเบนยักษ์ และปลาอื่นๆนัับ 80 ชนิดได้ในตู้เดียว สามารถเดินชมได้รอบตู้ และมองภาพใต้ทะเลผ่านกระจกกว้างแบบ Panorama ที่กว้าง 22.5 เมตร สูง 8.2 เมตร และมีความหนาถึง 2 ฟุตเลยทีเดียว นอกจากนี้จุดเด่นอีกอย่างก็คือประการังที่เลี้ยงไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นเป็นประการังที่ยังมีชีวิตและขยายพันธ์ได้ ถือว่าเป็นระบบนิเวศที่น่าทึ้งสำหรับพิพิธภัณฑ์เลยครับ เอาหล่ะ เราได้ฟังน้ำจิ้มไปแล้ว เริ่มอยากรู้เรื่องราวการเดินทางของผมแล้วหล่ะสิครับ อิอิ Hajimemasho = Let's begin
 5 กันยายน 2552
เมฆที่ลอยต่ำคล้อยสายลมอ่อนๆ พอที่จะทำให้เห็นก้อนเมฆนั้นล่องลอยไหลไปบนท้องฟ้า ราวกับว่ามีซุนหงอคงกำลังขี่เมฆสีทองเคลือนที่ไป หรือก็เหมือนกับมีคนถ่ายวีดีโอที่ก้อนเมฆไว้จากนั้นก็กดปุ่ม FF เพื่อเร่งให้ก้อนเมฆเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว เมฆฝนที่เมื่อกี้หอบพาความชุ่มฉ่ำจากสายฝนเพิ่งได้ลอยเคลื่อนหายไป แสงแดดยามสายๆก็ทอดแสงตามหลังออกมาพร้อมกับความหวังที่ผมจะได้เก็บภาพสวยๆกลับไปอวดใครต่อใคร
9.52 น. เวลาออกเดินทางทริปนี้เรียกว่า OIC Bus tour เป็นทัวร์ที่ทาง OIC จัดเพื่อผู้เข้าอบรมทุกคนที่มีความสนใจเพราะว่า Churaumi Aquarium นั้นอยู่เมือง Motobu-cho จากเมือง Urosoe ที่ผมพักก็ประมาณเกืบสองชั่วโมง รถบัสที่อัดแน่นด้วยผู้เข้าอบรมและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลจำนวน 60 คนจากนานาประเทศ เก้าอี้เสริมพิเศษตรงกลางทางเดินถูกกางออกมาใช้งาน ผมและพี่อุได้นั่งอยู่แถวกลางๆคันเยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย ผมได้หยิบเครื่องเล่น mp3 เปิดเพลงไทยแบ่งกับพี่อุฟังกันคนละหู เสียงพูดคุยภาษาต่างๆเซ็งแซ่กันอย่างไม่หยุดไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ สเปนิช ตากาล็อก ฯลฯ พวกเขาคงกำลังมีความสุขและตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวกันกระมัง มีเพียงแต่เราสองคนที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก นั่งรถกันมาหลับบ้างตื่นบ้างประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงขอบทะเลถ้าเรานั่งรถตามทะเลนี่ไปเรื่อยๆก็จะถึงกับเป้าหมายที่เราจะไปกัน น้ำทะเลสองสีที่ใสพอที่จะอวดความงามของโขดหินอยู่เบื้องล่าง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาของชายหาดอีกด้าน และท้องฟ้าที่มีเมฆก้อนเล็กๆประปรายกระจายเต็มท้องฟ้า

11.10 น. เวลาดีที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้คนขับรถบัสจอดที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้ออาหารกลางวันไปทานที่ aquarium เพราะราคาจะถูกกว่าไปกินข้างในนั้น จากนั้นก็ออกเดินทางต่ออีกไม่นานก็ถึงสถานที่เป้าหมายของเราแล้ว แต่จากที่จอดรถบัสนั้นต้องเดินไปค่อนข้างไกลสักหน่อยกว่าจะถึงทางเข้า เมื่อมาถึงหน้าทางเข้าก็ถ่ายรูปสัญลักษณ์ของที่นี่ที่เป็นรูปปั้นปลาวาฬสีเขียวอยู่บนแท่งปูนที่เหมือนกับชูปลาวาฬนี้ขึ้นเพื่อให้คนได้สังเกตเห็นได้ง่าย และเป็นเหมือนบอกผู้มาเยี่ยมชมว่าคุณได้มาถึงแล้ว เร็วๆ รีบเข้ามาเร็วๆสิ ผู้คนมากมายน่าจะมาจากทั่วสารทิศทำให้สถานที่แห่งนี้ดูเล็กไปเลย ไม่รอช้าผมงัดอาวุธที่เปลี่ยนฟิลเตอร์เป็น CPL อยู่แล้วเก็บภาพความงามของปลาวาฬสีเขียวพร้อมฉากหลังสีฟ้าเข้มมาฝาก และเมื่อเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ทำคือทานข้าวเที่ยงกันในห้องสำหรับนั่งพัก เติมพลังก่อนไปดูตู้ปลายักษ์กัน

 หลังจากเติมพลังเรียบร้อยแล้วยังพอมีเวลาประมาณ 40 นาทีสำหรับเดินเข้าไปรีวิวใน aquarium รอบแรก ก่อนจะถึงเวลาโชว์ปลาโลมา ผมไปกับพี่อุ เอ็ดดี้และมากิ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งเป็นสี่ชั้น
ชั้น 4F Invitation to the Great Sea
ชั้น 3F Journey to a Coral Reef
ชั้น 2F Journey to the "Kuroshio" (Black Current Sea)
ชั้น 1F Journey into the Deep Sea

ขณะนี้เราอยู่กันที่ชั้น 3F หลังจากผ่านเครื่องตรวจตั๋วเข้ามาด้านในก็ตื่นเต้นตั้งแต่จุดแรก พบกับซุ้มปลาดาว เขาเอาปลาดาวมาจัดแสดงพร้อมให้ผู้เยี่ยมชมสัมผัสปลาดาวได้อย่างเป็นๆ และเดินถัดมาจะเป็นไฮไลท์ของชั้นนี้คือตู้ปลาที่เขาเพาะเลี้ยงประการัง โดยที่ตู้ปลาที่นี่นั้นเน้นจำลองระบบนิเวศจริงๆ ประการังในตู้จึงยังมีชีวิตอยู่และมีการเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ตู้ประการังที่จัดแสดงนั้นทอดยาวออกไปหลายเมตรหันทิศทางไปทางประตูทางเข้า ทำให้ผู้ที่ต่อแถวตรวจตั๋วอยากจะรีบผ่านเข้ามายลเหลือเกิน ปลาขนาดเล็กมากมายว่ายเข้าๆออกๆในดงประการังหลากสีสรรที่พลิ้วไหวอย่างอิสระไร้ทิศทาง ดูแล้วเหมือนกับเด็กๆกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นเลย

ตลอดทางเดินในชั้นนี้นั้นก็มีตู้ปลานั้นจัดแสดงตลอดทาง แสงแดดที่ด้านบนของตู้ปลาตลอดทางนั้นสาดส่องบนผิวน้ำเหมือนกับว่าติดตั้งสปอตไลท์ดวงใหญ่อยู่ด้านบนตู้ ในบางช่วงนั้นแสงแดดส่องลงมาทำให้น้ำในตู้นั้นเหมือนมีม่านบางๆอยู่อีกด้านของกระจก ฝูงปลาน้อยใหญ่ว่ายอวดสีสรรของตัวเองอยู่หลังผ้าม่านบางๆนี้ด้วย
 
ในตอนนี้ผู้อ่านคงจะรู้สึกเหมือนตนเองกำลังดำดิ่งลงไปในห้วงทะเลลึก ในตอนต่อไปจะเป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วนะครับ ติดตามต่อได้ที่นี่เร็วๆนี้ อิอิ

ตอนที่ 2
http://foh9.blogspot.com/2009/09/okinawa-churaumi-aquarium-2.html 

Saturday, September 05, 2009

20090905 Churaumi Aquarium (The second largest aquarium in the world)




บันทึกการเดินทางตอนที่ 1 http://foh9.multiply.com/journal/item/34/34

บันทึกการเดินทางตอนที่ 2 http://foh9.multiply.com/journal/item/35/35