Monday, August 31, 2009

เผาเพื่อนร่วมชั้น ตอนที่ 2

ความเดิมจากตอนที่แล้ว เผาเพื่อนในห้องเรียน ตอนที่ 1

หลังจากที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากคนที่ชอบเผาเพื่อน เหอๆ จนต้องรีบเขียนภาคสองอย่างด่วน
ตอนที่แล้วนั้นผมได้เผาเพื่อนไปสี่คน ได้แก่ การ์มา เทียระ มาร์เซล และ ริชาร์ด คราวนี้จะเผาคนที่นั่งแถวสองกันบ้าง มี 5 คน เพื่อไม่เป็นการเสียเวลามาดูต่อกันเลยดีกว่าครับ

5. กอร์รี่ ฉายาป้าไฟแรงสูง ป้ากอร์รี่เป็นสาวละตินชาวเอลสวาดอร์ ผมยาวหยักศกสีมะฮอกกานี สูงประมาณ 155 ซม. น้ำหนักไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่รู้ว่าค่อนข้างอ้วนหน่อย ป้าแกอายุก็ไม่น่าจะน้อยแล้ว น่าจะราวๆ 45 มีลูกอายุ 15 และ 10 ปี ป้าแกพูดได้คล่องๆคือสเปนนิช แต่ภาษาอังกฤษนั้นเหมือนจะไม่ค่อยถนัดนัก เนื่องจากกิจกรรมขณะที่ป้าแกเรียนนั้นคือเปิดเว็บ google translate แปลเกือบทุกคำเป็นสเปนนิช บางทีตอนสอบก็ก็อปทั้งประโยคไปแปลด้วยก็มี ป้าแกน่าสงสารมาก เนื่องจากสอบครั้งแรกสุดนั้น ป้าแกเป็นคนเดียวที่สอบไม่ผ่านคือไม่ถึง 60% ผมกับพี่อุก็สงสารเลยไปช่วยบอกคำตอบของข้อสอบให้แกจำไปสอบ แกยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่น่าสงสาร เช่นพี่อุเล่าให้ฟังว่าแกคุยกับป้า ป้าแกบอกว่าไม่กล้าโทรกลับบ้าน มีแต่ส่งเมล์คุยกัน เพราะว่าลูกสาวชอบอ้อน จะทำให้แกร้องไห้ ดังนั้นแกจึงไม่ค่อยโทรศัพท์กลับบ้านเท่าไรนัก แต่ใครจะทราบว่าภายใต้เบื้องหลังเป็นคนที่น่าสงสารนี้ ยังแฝงไว้ด้วยความร้อนแรงดังสาวแรกรุ่น คือว่า วันนั้นผมเดินไปซังเอกับพี่อุ ขากลับเจอป้าแกเดินจูงมือกับคนศรีลังกาที่มาเรียนด้วย แต่คนละหลักสูตร (ตอนนั้นหน่ะมาถึงนี่ยังไม่ทันครบสองอาทิตย์เลย ป้าแกล่อแล้ว เดินจูงมือกัน อีกเดือนนึงไม่จูบปากกันเลยเหรอเนี่ย เหอๆ ไม่อยากคิดเลย) แต่จะว่าไปนะ ว่าสงสัยไอ้คนศรีลังกาจริงๆ ว่าสาวๆมันขาดแคลนนักเหรอไงเนี่ย (จริงๆ ที่มาเรียนก็ไม่มีเลยนะ T_T) ถึงไปเลือกป้าไฟแรงสูงนี่ได้ แล้วป้าแกนึกยังไงบอกกับพี่อุว่าคิดถึงลูก แต่..... เฮ้อ.... นี่แหล่ะครับ สาวละติน มักจะร้อนแรงรวดเร็วประดุจปานสายฟ้าฟาด น่ากลัวจริงๆ

6. โรเดล (ความหวังของแก๊งสเมิร์ฟ) เป็นหนุ่มชาวฟิลิปปินส์ อายุประมาณ 36 ปี เนื่องจากเพิ่งผ่านวันเกิดไปไม่นานนี้ และต้องยินดีด้วยกับลูกสาวที่เพิ่งลืมตาดูโลกก่อนหน้าวันเกิดของเขา 1 วัน (ถ้าจำไม่ผิดนะ) โรเดลตอนมาใหม่ๆ พี่บิ๊กตั้งให้เป็นความหวังใหม่ของชาวฟิลิปินส์ที่ OIC และถูกขนานนามว่าผู้ที่สูงที่สุดแห่งแก๊งสเมิร์ฟ เนื่องจากชาวฟิลิปินส์ที่มาก่อนนั้นแต่ละคนรูปร่างแคระแกลนทั้งนั้น เลยถูกพี่บิ๊กกับพี่น้องตั้งให้เป็นแก๊งสเมิร์ฟ แต่โรเดลที่่มาหลังและสูงที่สุดนั้น สูงไม่ถึง 170 ซ.ม. เท่านั้น เหอๆ แล้วลองคิดดูเอานะครับว่าโรเดลสูงที่สุดแล้ว แล้วคนอื่นๆในแก๊งนี้จะสูงเท่าไหร่ เหอๆ อย่างไรก็ตามโรเดลนั้นนิสัยดีจึงไม่ค่อยมีอะไรให้เผามากเท่าไรนัก ฮ่าๆๆ (รอดไปนะเมิง)

7. ไหม ชื่อเหมือนคนไทย แต่เธอคือคนฟิลิปินส์ ไหมในภาษาตากาล็อค แปลว่าเล็ก (เธอบอกมาหน่ะครับ) ดังนั้นให้สมกับชื่อเธอหน่อยนั้น เธอจึงสูงเพียง 145 ซ.ม. เธออายุ 31 ปีแล้วเธอเพิ่งแต่งงานก่อนมาที่โอกินาว่าด้วยครับ ไหมนั้นมักจะถูกไอ้ภูมันแกล้งบ่อยๆ (ก้อย่างว่าแหล่ะ มันแกล้งผู้ชายไม่ได้ นอกจากไอ้เวียต) โดยไหมมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า Chotto (แปลว่า นิดหน่อย ในภาษาญี่ปุ่น) ไหมจะชอบชวนพี่อุไปไหนมาไหนด้วยในบางครั้ง ดังนั้นเอาไว้ให้พี่อุเล่าเรื่องของไหมมากกว่านี้หน่อย จะมาเผาต่อนะครับ อิอิ

8. ฟรานซิส เนื่องด้วยคนญี่ปุ่นเขียนชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป็นชื่อ ฟรังโก้ จากคำบอกเล่าของพี่บิ๊ก ไอ้เพื่อนชาวรวันดาคนนี้มันน่าจะอายุแค่ 26 ปี ตัวใหญ่ หนัก 104 กิโลกรัม สูงน่าจะพอๆกับผม ฟรังโก้ ตัวมันดำที่สุดในห้องแล้ว แต่ยังดีกว่าไอ้แคมเมอรูนสองคนนั้น เพราะมันไม่มีกลิ่นตัว ฮ่าๆๆ ฟรังโก้มันตัวดำมากจริงๆนะครับ เวลามันยิ้มเห็นฟันชัดเจนมาก แล้วใต้ตามันจะมีความต่างของสีผิวมัน ผมก็เรียกไม่ถูกนะครับว่าเรียกยังไง แต่มันเหมือนสีผิวของมันลอกเลย ฮ่าๆๆ ฟรังโก้จะมีลักษณะเด่นอีกอย่างคือมันชอบใส่เสื้อสีที่คนไทยทั่วๆไปไม่กล้า ใส่ (ยกเว้นผม) เนื่องจากว่าสีเสื้อนั้นได้แก่ สีเขียวสะท้อนแสง สีส้ม สีแดง หรือสีอะไรก็ได้ที่ฉูดฉาดมากๆ ยิ่งมันใส่สีส้มนะ ซึ่งผมว่ามันสดมากเลยนะ แต่ว่ามันใส่แล้วสีเสื้อหมองไปเลย เพราะสีผิวมันดึงลง นอกจากนี้ตอนผมเจอมันครั้งแรกนะครับ มันเป็นเหมือนความหวังที่จะทำให้ผมมีเพื่อนเล่นบาส แต่ว่ามันก็เล่นไม่ค่อยเป็น เพราะมันชอบเตะบอล (เฮ้อ.. จะหาเพื่อนเล่นบาสด้วยได้มั้ยเนี่ย) อย่างไรก็ตามเพื่อนชาวรวันดาคนนี้นิสัยดีครับ อารมณ์ดี ยิ้มตลอดเวลา ขนาดดาร์ลี่ยังอายครับ ฮ่าๆๆ ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับบบบบ

9. เอ็ดดี้ เพื่อนชาวรวันดาอีกคน อายุ 31 ปี เอ็ดดี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าฟรังโก้เยอะ (เพราะมันแก่กว่านี่หว่า) เอ็ดดี้นั้นมีเสียงที่ใหญ่ เวลาพูดนั้นน้ำเสียงของมันเหมือนอาฉีเสียงหล่อเลยครับ เอ็ดดี้ตอนแรกที่เจอมันกับฟรังโก้ก็คิดว่ามันเล่นบาสเป็นเหมือนกัน เลยชวนมันไปเล่นด้วยกันเลย พอเห็นท่าชูตเท่านั้นแหล่ะ รู้เลยว่าเล่นไม่เป็น เหอๆ แต่ก็นะ เอ็ดดี้มันชอบชวนผมไปเล่นบาส อิอิ ยังดีที่มีเพื่อนเล่นเน๊อะ เอ็ดดี้ผิวนั้นไม่ดำเท่ากับฟรังโก้ และมันก็ยังชอบเตะฟุตบอลด้วย ฮ่าๆๆ ห้องผมส่วนใหญ่ชอบเตะบอลอ่ะ ยกเว้นผมที่ชอบเล่นบาส เหอๆ เอ็ดดี้มันนิสัยดีบ้าจี้เหมือนกับฟรังโก้

อิอิ ผ่านไปแล้วนะครับอีก 5 คน ฮ่าๆๆ เพื่อนร่วมชั้น ตอนหน้าจะเป็นตอนจบของตอนเผาเพื่อนแล้วนะครับ ทำเหมือนหนังไตรภาค อิอิ เหลืออีก 4 คน แต่คงเผาได้แค่สอง เพราะอีกสองคนนั้นคือผมกับพี่อุ ฮ่าๆๆ แล้วพบกันใหม่นะครับ ในตอนต่อไป เอิ๊กๆๆ

Sunday, August 30, 2009

พิพิธภัณฑ์โอกินาว่า กับการเริ่มต้นเดินทางด้วยตัวเองอีกครั้ง

หลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมงเป๊ะ ที่ลาจากพี่น้องและพี่บิ๊ก ผมกับพี่อุก็เริ่มออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆกันต่อไปในโอกินาว่าอีกเกือบสี่เดือนที่เหลือ เป้าหมายของวันนี้คือพิพิธภัณฑ์โอกินาว่า ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในโอกินาว่าครั้งแรกที่ไม่มีพี่บิ๊กกับพี่น้องนำทัวร์

วันที่ 29 สิงหาคม 2552

คณะทัวร์ในวันนี้มีผมเป็นแกนนำ และมีผู้ติดตามได้ พี่อุ และ อัลมากิ (เพื่อนร่วมชั้นมาจากซาอุดิอาระเบีย ซึ่งผมยังไม่ได้เผาให้ฟัง อิอิ) คณะทัวร์ทั้งสามออกจาก OIC เวลา 09.30 น. เราก็เดินออกมาออกมาทางสุสานที่อยู่ข้างกับอาคารหอพัก OIC เดินตัดมาเรื่อยๆ ท่ามกลางความร้อนของแสงแดดแห่งโอกินาว่า ที่ผมกลัวมาก กลัวจะทำให้ผิวอันบอบบางบนชั้นไขมันจะไหม้เกรียมเหมือนแผงหมูกรอบที่แขวนไว้หน้าร้านขายข้าวหมูแดงหมูกรอบ เดินมาประมาณ 45 นาที ก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดชื่อสถานี Gibo (คิดดูเองว่าบ้านนอกขนาดไหน แต่สงสัยว่าทำไมวันนี้มันอยู่ไกลกว่าเดิมหว่าาา) พอได้หลบแดดแล้วเราก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปสถานี Oromomachi ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสามสถานี พอมาถึงที่สถานี้ผมก็อดที่จะหยิบอาวุธคู่กายพร้อมเปลี่ยนเป็นฟิลเตอร์ CPL ทันที แล้วส่องสักรูปสองรูปเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องเล็กน้อย เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมาก เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากท้องฟ้าจะใสแล้วยังมีเมฆเป็นก้อนๆ ให้พอหยิบเลือกมาประกอบท้องฟ้าในฉาก แต่หากมองผ่านเลนส์ที่ใส่ฟิลเตอร์ CPL ด้วยแล้ว จะเห็นริ้วของก้อนเมฆเป็นเส้นขีดๆ กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ราวกับว่ามีเด็กมือบอนเอาสีขาวพ่นริ้วขีดตามกำแพงต่างๆ ดูแล้วก็ช่างงามตาเหลือเกิน

หลังจากออกจากสถานี ก็เดินต่อไปอีกผ่านห้างปลอดภาษีที่ใหญ่ชื่่อ DFS แต่นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา เดินต่อไปอีกท่ามกลางแดดที่ความแรงขนาดจะปิ้งเนื้อสุกได้ แสงแดดที่สาดมาจากทางด้านหลังของเรา ทำให้เรารู้สึกถึงความทรมานจากการที่ต้องรับความร้อนจากแสงแดดที่กำลังแผดเผาหลังของเราอยู่ เดินผ่านมาสองบล็อก ประมาณ 15 นาที เราก็จะพบกับอาคารรูปทรงประหลาดสีขาว ซึ่งหากจินตนาการดูนั้นเหมือนเป็นซากอารยธรรมชั้นสูงที่ถูกค้นพบใหม่กลางใจเมือง นั่นก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์โอกินาว่า หรือ Okinawa Perfectural Museum 

พอเข้ามาด้านในจะพบกับความอลังการ เพราะในนั้นมีงานแสดงนิทรรศการทั้งเป็นงานแสดงหลัก (Permanent Exhibition) และงานแสดงศิลปกรรม (Art Museum) แต่ผมและคณะลูกทัวร์ตกลงกันว่าจะดูเฉพาะงานแสดงหลักเท่านั้น เนื่องจากค่าเข้าชมงานแสดงศิลปะค่อนข้างแพง และก็ผลงานไม่รู้จักด้วย ก็เลยเสียแค่ 400 เยนสำหรับค่าเข้า จากนั้นก็ไปยืม ipod สำหรับการอธิบายภายในงานแสดงนี้ มีให้เลือกหลายภาษา ยกเว้นภาษาไทย T_T หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็เดินหน้ามุ่งเข้าสู่งานแสดงหลักกันเลย

ในงานแสดงหลักนี้จะแสดงเกี่ยวกับโอกินาว่า ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ วัฒนธรรม การเมือง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ รวมทั้งศิลปะ ทั้งที่เป็นแบบงานปติมากรรม งานจิตรกรรม หรือเครื่องแต่งกายต่างๆ ล้วนดูแล้วระรานตา ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นจัดแสดงสิ่งต่างๆโดยแบ่งเป็นโซนต่างๆ ทั้งหมด 6 โซน ซึ่งบางโซนอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ ดังนั้นผมจึงต้องขออภัยไว้ก่อนถ้าหากว่าไม่มีภาพในบางโซนมาให้ได้ยลกัน โอเคหล่ะ ตอนนี้เรามาเดินเข้าไปชมงานแสดงข้างในด้วยกันทีละโซนเลยดีกว่า

1. General Exhibition Hall จัดแสดงเป็นห้องโถงใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับโซนต่างๆ ในโซนนี้จะแสดงเรื่องราวทั่วๆไป ของโอกินาว่าตั้งแต่เรื่องลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ สิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดที่บ่งบอกเรื่องราวของคนที่นี่ เรือจำลองของเรือที่ใช้ติดต่อค้าขายในในสมัยโบราณ ชุดแต่งกายประจำชาติของอาณาจักรริวกิว แต่ที่ผมให้ความสนใจมากที่สุดในห้องนี้ก็คือสินค้าหรือของใช้ต่างๆของทหารอเมริกันที่มาบุกยึดเกาะโอกินาว่า สำหรับที่นี่แล้วมันเป็นเหมือนความเจ็บช้ำ เคียดแค้น ชิงชัง สังเกตได้จากภาพถ่ายที่ถูกแสดงในงานนี้พร้อมกับคำเขียนที่บอกประมาณว่า โอกินาว่าภายใต้กฎหมายอเมริกัน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆก็จะมีรูปธงอเมริกันอยู่ (หลายๆคนคงทราบอยู่แล้วว่าคนญี่ปุ่นนั้นเกลียดอเมริกันขนาดไหน) หรือแม้แต่จะเป็นการเข้ามาของดนตรีร็อค บุหรี่ ฯลฯ ก็ถูกจัดแสดงในโซนนี้ด้วย และเมื่อดูภาพต่างๆก็พอจะรู้สึกถึงความที่คนที่นี่ต้องอดทนต่อการกดขี่ข่มเหงของทหารอเมริกัน (ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรหรือหน่วยงานใด เอิ๊กๆ)

 2. Natural History Gallery จัดแสดงถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆบนเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์ เปลือกหอยต่างๆ นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ต้นไม้ หินต่างๆตามพื้นในเกาะ  หรือแม้กระทั่งลักษณะของคนยุคดึกดำบรรพ์ ฯลฯ อิอิ แต่ที่ชอบคือมีจอ LCD ประจำจุดต่างๆ เพื่อใช้อธิบายความเป็นมาของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้วย ผมไม่แน่ใจว่าที่เมืองไทยมีแล้วหรือยัง เด๋วกลับไปต้องไปดูบ้างแล้วอ่ะ เล็งมานานแล้วแต่ไม่ค่อยได้ว่างไปเลยที่กรุงเทพ อิอิ

 

3. เมื่อเดินมาจากห้องที่แล้วก็จะมาพบกับห้อง Archaeology Gallery ในห้องนี้จะได้เรียนรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยโบราณ สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องปั้นดินเผา ในโซนนี้ทำให้นึกถึงหม้อบ้านเชียง เอิ๊กๆๆ หรือตามที่ต่างๆที่ขุดพบเครื่องใช้โบราณ เหตุผลหน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าหม้อไหที่ขุดพบที่นี้นั้นลักษณะเหมือนกับที่ผมเคยเห็นที่เมืองไทยเลยครับ อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของศิลปะของจีนนั้นกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ในแถบภูมิภาคนี้ก็เป็นได้ และจุดที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ จุดที่แสดงภาพส่องกล้องจุลทรรศน์ของแมลง มันเป็นเหมือนความผสมผสานความเป็นไฮเทคโลยี วิทยาศาสตร์ และศิลปะ ได้อย่างลงตัว

 

4. Arts and Crafts Gallery ในโซนนี้นั้นจะแสดงถึงความงดงามทางศิลปวิทยาที่ถูกบรรจงแต่งแต้มวาดลวดลายตามสิ่งของต่างๆ ออกมาอวดผู้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นความวิจิตรของลายผ้าถักทอบนผ้าสำหรับตัดชุดแต่งกายของชาวริวกิว ภาพวาด งานถักทอต่างๆ หรือแม้กระทั่งของเล่นเองก็ตาม

5. History Gallery จัดแสดงวัสดุต่างๆ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณาจักรริวกิวจนมาถึงยุคใหม่ การเฝ้ามองมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น ช่างเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลในการศึกษาประวัติศาสตร์ของโอกินาว่าอย่างยิ่ง

6. Folklore Gallery มาถึงห้องสุดท้ายกันแล้วนะครับ สิ่งของพื้นเมืองต่างๆมากมายถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่ก่อนยุคของสงครามที่เต็มไปด้วยความเสียใจของผู้คนที่นี่ แต่สิ่งที่ถูกจัดว่าเป็นนวัตกรรมสมัยนั้นยังคงมีชีวิตอยู่และถูกจัดให้แสดงถึงภูมิปัญญาของชนรุ่นก่อนอยู่ในโซนนี้ต่อไป

มาถึงตอนนี้เราก็เดินครบทุกห้องทุกจุดในห้องแสดงงานหลักแล้วนะครับ จากนั้นคณะลูกทัวร์ทั้งสามก็ได้สักสองเหนื่อยในการศึกษาความเป็นมาของประวัติศาสตร์ของโอกินาว่าแห่งนี้ ก็นั่งพักสักครู่เตรียมสภาพร่างกายไปเที่ยวต่อ อิอิ คราวนี้เราออกมาทางประตูอีกด้านนึง ถ่ายภาพเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วเราก็ข้ามถนนไปซังเอ (San-A Naha Main Place) ซึ่งเป็นห้างค่อนข้างใหญ่ (แต่อย่าให้เอาไปเปรียบกับกรุงเทพเลยนะครับ ที่บ้านเราใหญ่กว่าเยอะ) และก็ไปกินข้าวเที่ยง ซึ่งมีผมกับพี่อุเท่านั้น เนื่องจากอัลมาคินั้นทานไม่ได้ เพราะถือศีลอด น่าสงสารจริงๆ ไม่ได้กินข้าวไม่ได้กินน้ำ แถมต้องมาโดนผมทรมานอีกด้วย ฮ่าๆๆ แล้วก็เดินชอปปิ้งกันนิดหน่อย งวดนี้ได้ของที่อยากได้มานานแล้ว นั่นก็คือเสื้อกันยูวี ฮ่าๆๆ สอยมาเลย 1580 เยน จะได้ไม่ดำ ยอมลงทุน หลังจากที่เราทำภารกิจเสร็จก็ประมาณ 14.30 น. ก็เดินไปขึ้นรถไฟกลับ OIC เช่นเดิมเมื่อถึงสถานี Gibo ตอนบ่ายสามนิดๆ ก็ต้องเดินตากแดดกลับ OIC แต่ไม่กลัวแล้ว เนื่องจากผมมีเสื้อกันยูวี ฮ่าๆๆ 

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหนื่อยเหมือนกัน ก็มีแอบคิดถึงพี่บิ๊กกับพี่น้องบ้าง เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไปเรียนต่างประเทศคนเดียวเลย แล้วต่อไปผมอยากเรียนดร.ต่อ ผมจะไปเรียนไหวไหมเนี่ย เฮ้อ.... ก้าวเล็กๆของเราในวันนี้ มันจะส่งให้เราสามารถก้าวที่ใหญ่ได้ สู้ๆ 

ภาพถูกจัดแสดงไว้ที่  http://foh9.multiply.com/photos/album/85/20090829_Okinawa_perfectural_Museum

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ที่ http://www.museums.pref.okinawa.jp/english/museum/exhibitions/index.html

Saturday, August 29, 2009

20090829 Okinawa perfectural Museum




บันทึกการเดินทาง http://foh9.multiply.com/journal/item/32/32

Friday, August 28, 2009

20090828 จากกันแค่ชั่วคราว

ผมใช้ชีวิตที่โอกินาว่าได้สองอาทิตย์เศษๆแล้ว ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้เห็นโลกในอีกมุมที่ต่างไปจากที่เคยมอง ได้เห็นความมีน้ำใจ โอบอ้อมอารีของคนที่นี่ และที่สำคัญที่สุดเลยคือมิตรภาพระหว่างกลุ่มคนไทยที่อยู่ที่ OIC แห่งนี้ จากบล็อกของวันก่อนๆ ผมเคยพูดถึงมาบ้างแล้ว ซึ่งก็มีพี่บิ๊ก (หัวโจกนำขบวนฮา) พี่น้อง (คอยดูแล จัดการเรื่องต่างๆ) พี่อุ (เป็นผู้ติดตามที่ดี) ส่วนผม (จอมมั่วประจำ) ตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่บิ๊กและพี่น้องได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาขณะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แก่ผมและพี่อุไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญๆต่างๆ ผู้คนหรือเจ้าหน้าที่ที่จะขอความช่วยเหลือได้ ข้อห้ามหรือข้อควรระวัง หรือแม้กระทั่งภาษาโอกินาว่าที่ผมได้รับการถ่ายทอดตรงจากพี่บิ๊ก ผมใช้กับคนพื้นเมืองที่นี่ ถือว่าได้ผลมากเลยครับ เขาตื่นเต้นกันใหญ่ที่ผมรู้จักภาษาของเขา ฮ่าๆๆ (ของเขาดีจริงๆ)

พี่บิ๊ก เป็นคนรูปร่างอวบนิดๆ สูงประมาณ 175 ซม. ผมหยักศก ผิวคล้ำนิดๆ ชอบฮา เล่นมุขกระจาย แต่ชีวิตนี้แกจะขาดไม่ได้อยู่อย่างเดียว คือ "เบียร์" เบียร์ยี่ห้อไหน รสชาติเป็นไง หรือร้านไหนขายเบียร์ถูกหรือแพง ถ้ามีโปรโมชั่นราคาถูก แกก็รู้เช่นกัน เปรียบกับว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้เบียร์โอกินาว่าเลยก็ว่าได้ 

พี่น้อง พี่สาวคนนี้สูงประมาณเกือบๆ 170 ซม.ได้ ผมยาวหยักศก เวลาไปไหน แกจะเป็นคนคอยจัดการการเดินทาง หรือวางแผนเที่ยวให้เรา รวมทั้งคำแนะนำต่างๆ พี่น้องจะมีสิ่งนึงที่ผมประทับใจคือ เวลาที่ผมเล่าเรื่องอะไรก็ตาม พี่น้องมักจะนั่งฟังอย่างตั้งใจเสมอ ไม่ว่าผมจะเล่ารู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม ซึ่งผมเองก็รู้นะครับ ว่าผมหน่ะส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พี่น้องเองก็ตั้งใจฟังทุกครั้ง ฮ่าๆๆ

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 เวลาประมาณ 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ผมและพี่อุได้เดินทางมาถึง OIC และเป็นช่วงเวลาที่ผมได้รู้จักกับพี่บิ๊ก เนื่องจากพี่บิ๊กได้ข่าวมาว่าจะมีคนไทยมาวันนี้ ดังนั้นจึงมาดักรอ และคำพูดแรกที่พี่บิ๊กเอ่ยนั้นมันยังติดตรึงใจผมอยู่จนวันนี้ เสียงที่ใหญ่ออกหล่อนิดๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติยินดีที่ได้เจอผม "เฮ้... น้องคนไทยใช่มั้ย" ผมกับพี่อุก็ถึงกับอึ้ง เพราะช่วงที่เราคุยกันก่อนจะเดินทางมานี้ ก็คิดว่าจะต้องช่วยกันเพราะอาจจะเป็นคนไทยสองคนที่นี่ก้ได้ แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์ยังเมตตากับเราอยู่ ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่บิ๊กและพี่น้อง แล้วสิ่งต่างๆในหัวผมมันประมวณผลอย่างรวดเร็วและมากมาย เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พยายามอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูงมาก จากนั้นไม่นานผมก็เริ่มตั้งสติได้ก็ยกมือไหว้พี่บิ๊กแล้วถามว่าพี่ชื่ออะไร มาเรียนที่นี่ใช่มั้ย พวกเราสนทนาทักทายกันนิดหน่อย พี่บิ๊กก็สอนวิธีการสั่งอาหารที่โรงอาหาร แล้วผมกับพี่อุก็ได้นั่งทานข้าวกับพี่บิ๊กที่โต๊ะประจำประเทศไทย (พี่บิ๊กบอกว่าโต๊ะตรงที่เรานั่งนั้นแต่ก่อนตอนช่วงที่คนไทยมาเยอะๆ ก็จะจับจองที่ตรงนี้ จนกลายเป็นที่ประจำไปแล้ว) ขณะทานอาหารกันพี่บิ๊กก็เล่าเรื่องต่างๆมากมาย และตอนเย็นวันนั้นหลังจากที่พี่ๆเขาเลิกเรียนกันก็นัดกันมาทานข้าวกันทั้งสี่คน ซึ่งพี่น้องที่ไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกับเราก็มากันพร้อมหน้า ทำให้ครบขา (เตรียมแจกไพ่) เหอๆ ครบสมาชิก fantastic 4 หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเราก็เดินไปห้างซังเอ (San-A) กัน 

หลังจากวันนั้นที่เราใช้ชีวิตร่วมกันของคนไทยในโอกินาว่า ตั้งแต่เช้า 08.30 น.เราจะนัดกันที่ Front B เพื่อลงไปทานข้าวพร้อมกัน เที่ยงก็จะเจอกัน ส่วนตอนเย็นส่วนใหญ่ก็จะทานข้าวด้วยกัน แล้วจากนั้นก็จะออกไปไหนมาไหนเสมอ ทุกครั้งที่กินข้าว คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตที่นี่นั้นก็มักจะถูกพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งผมเองก็รับรู้ได้จากความรู้สึกว่าเหมือนพี่เขากำลังสอนน้องๆอยู่เลย หรืออาจเป้นเพราะผมนั้นมีแต่พี่ๆเสมอ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมากๆเวลาที่ได้คุยกับพี่ๆทั้งสอง

แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ ถึงแม้ว่าจะไม่นาน แต่ความผูกพันธ์ของพวกเรานั้นรู้สึกยิ่งใหญ่เหลือเกินเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว วันนี้เป็นวันที่เราต้องจากกัน วันนี้เรานัดทานข้าวเช้ากันตอน 7.30 น. ซึ่งเร็วกว่าทุกวัน รู้สึกหวิวๆเหมือนกันนะครับ เมื่อถึงวันที่ต้องจากกัน จากนั้นเวลา 9.20 น. รถตู้และรถเก๋งสีดำ เป็นรถที่มารับพี่ๆ พร้อมด้วยเพื่อนๆจากประเทศอื่นที่ต้องกลับกันวันนี้ รถเก๋งคันใหญ่สีดำเป็นรถที่พี่ๆเขาขึ้นกัน กระโปรงท้ายที่อัดแน่นด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ พร้อมเป้อีกใบของพี่บิ๊ก ได้ถูกปิดฝาลงเสียงดังพอควร เพื่อนๆที่มาจากประเทศต่างๆ และเจ้าหน้าที่ก็มายืนส่งพี่ๆขึ้นรถ ไม่ว่าจะเป็นเทรุย่าซัง มิโดริซัง ฯลฯ ร่ำลากันจับมือร่ำลากันครบทุกคน ส่วนผมกับพี่อุมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะเอ่ย แต่มันก็เหมือนมีน้ำท่วมที่ปากไม่รู้จะเอ่ยอะไร ก็ได้แต่ยกมือไหว้พี่ๆเขาพร้อมกับอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัย แล้วผมกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ เราจะไปทานข้าวกัน แล้วผมจะจัดการเอาของฝากที่พี่บิ๊กฝากให้คนญี่ปุ่นให้ครบ แล้วก็ถามคุณจุนโกะเรื่องสมาคมโอกินาว่าในประเทศไทย นึกถึงช่วงเวลาที่ต้องร่ำลากันเมื่อเช้าแล้วก็ยากที่จะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ แต่ในเมื่อเราเลือกที่จะมาที่นี่เอง เราก็ต้องพร้อมที่ก้าวเดินต่อไป โดยมีจุดมุ่งหมายในการเรียนที่นี่ให้สำเร็จ แล้วกลับไปเจอพี่ๆเขาตามที่เราได้สัญญากันไว้

ตอนเที่ยงผมนั่งทานข้าวกับพี่อุ ก็ยังอดคิดถึงภาพพี่บิ๊กและพี่น้องนั่งอยู่ เล่าเรื่องราวๆต่างๆมากมายไม่ได้ ยอมรับเลยนะครับว่าก็เศร้าเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าแป๊บเดียวก็สองอาทิตย์แล้ว อีกสักพักก็สี่เดือนแล้ว ไม่นานหรอก เด๋วก็จะได้เจอกันใหม่ 

ตอนที่ผมกำลังเขียนบล็อกนี้พี่บิ๊กกับพี่น้องคงกำลังอยู่บนเครื่องจากโอซาก้าไปกรุงเทพอยู่แน่ๆเลย ขอให้พี่ๆเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ ผมสัญญานะครับว่าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และกลับไปจะไปทานข้าวด้วย 

สุดท้ายนี้ฝากกลอนไว้ แต่งช่วงที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ น่าจะถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีกว่า 

แม้วันนี้เราจำต้องจากกัน
ช่างเป็นวันที่แสนโศกเศร้าหนา
แต่จากกันครั้งนี้แค่ชั่วครา
รอจนกว่าจะพบหน้ากันอีกเอย

Tuesday, August 25, 2009

20090823 Eisa Dancing at Chatan

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ผมกับผู้ร่วมเดินทางขาประจำอีกสามคน (Fantastic 4) อันประกอบไปด้วย ผม พี่บิ๊ก พี่น้องและพี่อุ เป็นอาทิตย์สุดท้ายที่พี่บิ๊กกับพี่น้องจะไปเที่ยวกับผมและพี่อุที่โอกินาว่าแล้ว ใจหายเหมือนกัน ต่อไปก็จะเหลือคนไทยแค่สองคนที่นี่ คงจะคิดถึงพี่ๆแน่เลยครับ (เอาไว้ให้พี่เขากลับไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยเม้าท์พี่เขา คริคริ) เริ่มออกเดินทางตอนบ่ายโมงครึ่งโดยประมาณ ด้วยแท๊กซี่ที่เรียกที่ Front B ซึ่งสถานที่ที่พวกเราจะไปในวันนี้คือสนามแสดงการเต้นเอสะ ที่ ชาตัง (Chatan) หรือรู้จักในชื่อของ อเมริกันวิลเลจ อยู่ไกลพอสมควร ค่าแท๊กซี่ประมาณ 2400 เยน เหอๆ ไม่อยากคำนวณเป็นเงินไทยเลย มาถึงก็ช่วงประมาณบ่ายสอง แดดกำลังสวยเลย ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ใสๆ ไร้เมฆมาบัง แน่นอนครับ ว่าไม่รอช้า งัดอาวุธเปลี่ยนฟิลเตอร์เป็น CPL กดไปสักสองสามรูป พอเป็นกระสัย 

หลังจากถ่ายรูปนิดหน่อย พอให้กล้องได้รับแสงแดดของโอกินาว่าแล้ว ก็เข้าไปดูสินค้าในร้านขายของมือสองจากอเมริกา อ้อ... ผมลืมเล่าให้ฟังไปว่า แต่ก่อนโอกินาว่านั้นเป็นเกาะที่ทหารอเมริกันใช้เป็นฐานทัพสมัยสงครามโลกโน่นแหน่ะ เข้าไปเลือกดูแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร จากนั้นเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็จะเจอ DIY เป็นร้านเหมือนขายของตกแต่งบ้าน เป็น request จากพี่บิ๊ก บอกว่าเรามาที่นี่แล้วยังไม่เคยเข้าเลย ขอเข้าไปหน่อย ก็เลยจัดให้ตามคำขอ เอิ๊กๆๆ แล้วผมก้ได้นาฬิกาเรือนใหม่ออกมาด้วย ราคา 2000 เยน (ประมาณ 700 บาท) เป็นนาฬิกาคาสิโอสายเหล็กแบบยืดได้ อิอิ จากนั้นเราก็ไปหาอะไรกินกันที่จัสโก้ ฮ่าๆๆ จะบอกว่าที่นี่จัสโก้เยอะมาก อารมณ์เหมือนเซ็นทรัลหรือโรบินสันบ้านเราอ่ะ แต่ว่าบ้านเราของขายและขนาดของห้างนั้นใหญ่กว่าเยอะมาก เหอๆ ผมก็เลยกินแมคโดนัล แถมช่วยพี่น้องและพี่อุกินทาโกะยากิ เกี๊ยวซ่า และราเมง ฮ่าๆๆ อิ่มมากกกกกกก รอจนประมาณสี่โมงกว่าๆ ถ่วงเวลากันให้แดดร่มลมตกสักหน่อย แต่ยังว่าที่นี่พระอาทิตย์ตกช้ามาก ก็ตัดสินใจตะลุยออกไปท้าทายแสงแดดด้วยครีมกันแดดของแต่ละคน หน้างานนั้นจะมีร้านขายของกินเล่น ของเล่น เหมือนงานโอท็อปบ้านเราเลยครับ 

ซื้อบัตรผ่านประตู 500 เยน เพื่อเข้ามาชมการแสดงเอสะ แน่นอนครับว่าบัตรราคานี้ก็ต้องกลางสนามตอนแดดร้อนๆ แต่คณะคาราวานฉิ่งฉับทัวร์ของเราไม่มีปัญหา พร้อมที่จะหลังลอกอีกครั้ง จับจองพื้นที่ที่ใกล้ๆพื้นที่แสดงให้มากที่สุด จากนั้นก็งัดอาวุธของแต่ละคนมาสอยรูป หรือวีดีโอกันตามอัธยาศัย ผมก็ล่อด้วย 70-200 มม.เลยครับ อิอิ ตั้งใจอยากได้ภาพแนวโคลสอัพ เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น เสียงร้องว่า "อี้...ยา....ซา...ซะ" ดังขึ้นสลับกับเสียงเป่าปาก วี๊ดๆ พร้อมด้วยเสียงกลองโบราณเป็นจังหวะ ถูกขับกล่อมด้วยซันชิน(เครื่องดนตรีสามสาย)และเพลงสไตล์โอกินาว่า ริ้วขบวนที่ผู้ร่วมขบวนแต่งกายหลากหลายรูปแบบ ในขบวนส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยขบวนของกลองใหญ่มาเป็นชุดแรก จากนั้นก็เป็นกลองเล็กอีกชุดหนึ่ง ตามด้วยขบวนของสาวๆ ที่จะมาร้องรับประสานเสียง และที่จะขาดไม่ได้เลยเหมือนตัวตลกประจำขบวน ซึ่งจะแต่งตัวแตกต่างจากคนอื่น แต่งหน้าขาว ทาปากและแก้มสีแดง พร้อมกับถือพัดเดินแทรกไปตามจุดต่างๆของขบวน ดูแล้วคล้ายกับจะเป็นผู้นำขบวนหรือผู้ตรวจสอบขบวนก็ว่าได้

 

การแสดงเอสะนั้นมีหลากหลายรูปแบบมาก การแต่งกายก็แล้วแต่ทีมที่มาแสดง เพลงที่เลือกใช้ การจัดขบวน ฯลฯ ค่อนข้างจะฟรีสไตล์มาก บางทีมนั้นมีการจัดรูปแบบแบบต่อตัวก็มี หรือบางทีมไม่ใช้กลองเลย แต่ใช้การเป่าปากอย่างเดียว เป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอย่างมากเลยครับ ผมเองคนนึงที่ชื่นชอบการแสดงนี้มาต้ังแต่อยู่เมืองไทยแล้ว กล่าวคือตอนผมหาข้อมูลท่องเที่ยวโอกินาว่านั้น เปิดเจอเว็บไซต์นึงที่อยู่ดีๆก็มีเสียงร้องของการแสดงเอสะ ฟังแล้วดูน่าตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก 

แต่..... เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อดูการแสดงอยู่ดีๆ ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาได้ หนีฝนกันทุลุกทุเลมาก จากนั้นพอฝนหยุดก็เลยเดินออกไปริมหาดดูพระอาทิตย์ตกดินกัน โดยเดินออกจากที่แสดงนั้นไม่ถึง 50 เมตร ฮ่าๆๆ ไปชักภาพร่วมกันเล็กน้อย

จากนั้นผมก็ไปจัสโก้อีกรอบกับพี่บิ๊กไปหาเครื่องดื่มมาทานกัน เพราะในงานอาหารและเครื่องดื่มแพงมาก แพงแบบราคาคูณสองเลย กลับมาอีกทีก็เกือบสามทุ่มแล้ว ซึ่งใกล้เวลาที่จะมีการแสดงดอกไม้ไฟที่นั่นด้วย อิอิ แน่นอนครับว่างานนี้ไม่พลาดที่ต้องเก็บภาพดอกไม้ไฟในญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต แต่....ผมไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาจากเมืองไทย เพราะว่ามันหนักมาก ฮ่าๆๆ แต่ก็ใช้นวัตกรรมขวดชาเขียวหนุนใต้เลนส์ ซึ่งมันอาจจะเป็นความบังเอิญหรือโชคดีก็ได้ที่มันสามารถถ่ายรูปพลุได้พอดีมากเลย ก็ได้ภาพมาพอสมควร

 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างรูปนะครับ ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ http://foh9.multiply.com/photos/album/84/

Monday, August 24, 2009

20090823 Eisa Dance at Chatan




บันทึกการเดินทาง http://foh9.multiply.com/journal/item/30/20090823_Eisa_Dancing_at_Chatan

ตามไปอ่านกันได้ครับพี่น้องงงงงงงงงง

Sunday, August 23, 2009

Urasoe Art Museum ความอาร์ตเข้าแทรก

22 สิงหาคม 2552

วันนี้พี่น้องตั้งใจอยากไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะของที่นี่มานานแล้ว แล้วสัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์สุดท้ายของพี่น้องและพี่บิ๊กในโอกินาว่า ดังนั้นพี่น้องจึงชวนไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมืองนี้ ด้วยความอาร์ตเข้าแทรกจึงตกลงไปอย่างง่ายดาย ในทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางอยู่สามคน คือผม พี่น้อง และพี่อุ ส่วนพี่บิ๊กขอบายในวันนี้ ออกเดินทางตอนประมาณ 9.30 น. ออกจากโรงอาหารของ OIC แล้วออกไปทางฟร้อนต์เอ เดินประมาณสองกิโลเมตรก็ถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะดังกล่าว พิพิธภัณฑ์นี้จะประกอบไปด้วยอาคารแสดงผลงานและหอคอย

 

วันนี้ถือว่าเป็นวันที่โชคดีเนื่องจากมีการจัดงานแสดงผลงานของอ.คิโยชิ นากาชิมา (Kiyoshi Nakashima) ตอนแรกผมก็ไม่รู้จักหรอกครับ แต่เมื่อได้ดูผลงานของเขาแล้วก็ทำให้รู้ว่าเราเห็นภาพเหล่านี้มาบ้างแล้ว ตามปกสมุดหรือกล่องดินสอ หรือเครื่องเขียนต่างๆในประเทศไทย รวมไปถึงจิ๊กซอวส์เองก็ตาม 

 ผลงานของอ.คิโยชิ นั้นส่วนใหญ่เป็นภาพการ์ตูนเด็กชนบทของญี่ปุ่น ที่อยู่ยุคของสงคราม เด็กเหล่านี้ยากจน (เสื้อผ้าขาด) แต่ยังต้องเจอภัยของสงครามด้วย ตัวการ์ตูนนั้นเหมือนๆกันแต่จุดเด่นของผลงานศิลปะของอ.ท่านนี้อาจจะเป็นฉากหลังที่มีสีสรร ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างน่าประทับใจ อารมณ์ของภาพเหมือนพยายามจะสื่อว่าเด็กกลุ่มนี้ถึงแม้จะเกิดมาท่ามกลางสงคราม แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เท่าที่ผมสังเกตดูนะครับ เด็กๆในภาพมีหน้าเหมือนกันทุกภาพเลย ก็คือเด็กจะไม่ยิ้มแย้ม จะทำหน้าเศร้า ถึงแม้ว่าจะเล่นอยู่กับเพื่อนๆอยู่ก็ตาม ความรู้สึกเมื่อผมดูภาพเหล่านี้แล้วเหมือนเด็กๆเหล่านี้กำลังรอคอยใครสักคนอยู่ อาจจะรอพ่อแม่กลับมาจากไปทำงาน หรือกลับมาจากสนามรบก็ได้ เด็กเหล่านี้รอคอยอย่างไร้จุดมุ่งหมาย

ภาพที่ผมชอบมากที่สุด เป็นภาพของเด็กกำลังถูกตัดผมด้วยบัตตาเลี่ยนมือหนีบ (เนื่องจากผมไม่สามารถถ่ายรูปในห้องแสดงผลงานได้ จึงไม่ได้เอารูปมาฝาก) ภาพนี้เป็นภาพขาวดำ มีเด็กสามคนอยู่ในชุดเหมือนชุดนักเรียน โดยมีเด็กคนนึงตัดผมให้เด็กคนที่สองอยู่ใต้ต้นไม้ (ให้นึกถึงภาพบาร์เบอร์ที่อยู่ใต้ต้นไม้ ตามต่างจังหวัด) และมีเด็กอีกคนนึงนั่งรออยู่ข้างๆ เหมือนกำลังนั่งรอคิวที่จะได้ตัดต่อไป สายลมอ่อนๆพัดมาขณะตัดผมทำให้เศษเส้นผมปลิวตามสายลม (อ.ท่านนี้เขาน่าจะใช้เศษเส้นผมจริงๆโรยในภาพ เพราะผมดูแล้วมันละเอียดเกินกว่าจะใช้ดินสอวาดได้) เด็กที่ถูกตัดผมในภาพนั้นคงจะเจ็บน่าดูเลยครับ เพราะว่าเด็กคนนั้นทำหน้าเบแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่ถูกบัตตาเลี่ยนหนีบผมออกทีละกระจุก องค์ประกอบต่างๆรวมทั้งอารมณ์ของภาพและตัวละครในภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกประทับใจอย่างมาก

หลังจากที่ผมออกมาจากหอแสดงผลงานแล้วก็ขึ้นไปบนหอคอยข้างๆ และถ่ายรูปจากมุมบนบ้าง ได้รูปสวยพอประมาณ จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปทานอาหารกลางวัน

 

 หลังจากลงมาจากหอคอยก็ส่องรูปตัวเองสักหน่อย เด๋วจะหาว่าไม่ได้มา โดยให้พี่น้องส่องให้ ก็ได้ภาพอย่างที่เห็น อ้วนหว่ะ ดำอีก (เฮ้อ... อ้วนดำ เครียดดด)

อาหารเที่ยงที่พี่น้องพาไปนานนั้น ต้องเดินต่อไปทางทะเลอีกประมาณยี่สิบนาที แดดร้อนได้ใจมาก แสบผิวไปหมด (มันจะไม่ดำได้ไงเนี่ย) ก็มาถึงร้านสเต็ก Four Season ลักษณะในร้านนั้นเป็นลูกค้าที่นั่งกินจะเชฟประจำแต่ละโต๊ะ มาปรุงอาหารให้ดูอยู่ตรงหน้าเลย แถมมีควงโชว์นิดหน่อย เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี เมนูแรกที่เสริฟก็จะเป็นซุป และสลัด จากนั้นเชฟก็จะมาทำขนมปังอุ่นพร้อมกับปรุงสเต็กตามที่เราสั่งไปอยู่หน้าเราเลย แล้วเสริฟตรงนั้นเลย หลังจากสเต็กหมด ก็จะตามด้วยสปาเก็ตตี้ และตบท้ายด้วยกาแฟเย็น ราคาทั้งหมดของผมก็ประมาณ 1200 เยน ถือว่าถูกมากกับรสชาติและปริมาณอาหารที่ได้รับ

 กำหนดการในช่วงเช้าก็หมดแล้ว หลังจาก enjoy กับอาหารนี้แล้วเราก็กลับ OIC โดยแท๊กซี่ แล้วก็รอสี่โมงเย็น ซึ่งคุณมายูมิ และคุณมาซารุ เขาจะมารับพวกเราไปทำอาหารไทยที่บ้าน แซ่บเลยครับ กว่าจะกลับมาถึง OIC ก็ห้าทุ่มกว่า เมื่อคืนเลยไม่มีแรงเขียนบล็อก เลยเขียนวันนี้เลย อิอิ 

 ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ http://foh9.multiply.com/photos/album/83/

 

20090822 Urasoe Art Museum




อ่านรายละเอียดการเดินทางได้ที่ http://foh9.multiply.com/journal/item/29/29

Friday, August 21, 2009

เผาเพื่อนร่วมชั้น ตอนที่ 1

ฉบับนี้ก็ตามหัวข้อนะครับ รายการเผาเพื่อนร่วมชั้น เนื่องจากว่าสมาชิกในห้องมีทั้งหมด 13 ชีวิตจาก 9 ประเทศ ซึ่งผมว่าก็เยอะนะครับที่จะเผาให้เสร็จในตอนเดียว ดังนั้นจึงจะขอเผาแบ่งเป็นตอนๆแล้วกันนะครับ เริ่มต้นด้วย

1. เพื่อนจากภูฏาน ชื่อ การ์มา ซันเก สูงประมาณ 170 ซม. ถือว่าไม่ค่อยสูงมากนัก ผอม ตาโต หน้าตาเหมือนจะหล่อ แต่คงไม่หล่อถ้าหากเทียบกับผม ฮ่าๆๆๆ มันมีฉายาเยอะมาก เพราะมันชอบตั้งฉายาให้คนอื่นมากมาย ตัวอย่างของฉายาที่มันถูกเรียก เช่น ภูฏานซัง ไอ้พูดมาก (talkative) หรือ เกย์ซัง (อันนี้ผมตั้งให้มันเอง) ลักษณะของมันนี้พูดได้คำเดียวว่ากวนทีนมากครับ ตั้งแต่ช่วงแรกของการเรียน ซึ่งเป็นการเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เวลามันนั่งเรียนก็นั่งเอนไปด้านข้าง เงยหน้านิดนึง แล้วมองหลิ่วตามองที่อ.สอน ไม่เข้าใจว่ามันนั่งท่านั้นแล้วจะทำให้เรียนรู้เรื่องขึ้นหรือป่าว และมันจะเป้นเหมือนเด็กมีปัญหาตลอดเวลา เพราะทุกครั้งที่อ.ถามว่าใครมีคำถามอะไรไหม มันก็จะถามทุกครั้ง อีกทั้งคำถามของมันก็ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย ผมกับพี่อุก็ยังไม่เข้าใจเลยว่ามันจะถามไปทำไม นอกจากนี้มันชอบกวนทีนเพื่อนคนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเวลามันถามชื่อแล้วมันก็ล้อเลียนชื่อคนอื่น หรือพยายามพูดภาษาของเจ้าของภาษา ทั้งๆที่มันก็พูดไม่ได้ แล้วก็ยังพยายาม (แต่เอาเหอะ ความพยายามของมัน) หรือมันชอบตะโกนเรียกชื่อเพื่อนโดยใส่คำว่าซังตามท้าย หรือเวลาในคลาสเรียนมันก็จะพยายามพูดภาษาญี่ปุ่น ก็ดีนะที่พยายาม แต่ว่าาาาาาา มันพูดมั่วตลอดเลย อย่างเช่น "Nihonko kudasai" Nihonko แปลว่าภาษาญี่ปุ่น Kudasai แปลว่าขอโทษ .... -_-" หมดคำบรรยายครับ

ลักษณะพิเศษที่สำคัญอีกสองอย่าง คือ พูดไม่รู้เรื่อง กับตอแหล เพราะเวลามันพูดนะครับ ภาษาอังกฤษมันฟังยากมาก ก็ไม่อยากโทษมันมากนะครับ เพราะภาษาอังกฤษผมก็ไม่ค่อยดี (กลัวมันจะย้อนมาหาตัวเองหน่ะ เหอๆ) แต่ก็พยายามจะเข้าใจนะครับ แต่อีกอย่างก็คือเรื่องของการตอแหล นี่ต้องยกนิ้วให้มันเลยครับ ตอแหลสุดๆ อย่างตอนเรียนภาษาญี่ปุ่น อ.สอนคำว่า a, so desu ka แปลว่า อ้อ... ผมเข้าใจแล้ว แล้วอ.ก็จะให้ฝึกถามตอบคำถามง่ายๆ แล้วให้ผู้ถามพูดคำนั้นด้วย มันก้เอาเลยครับ พอมันถามเสร็จ คนตอบยังตอบไม่จบเลย มันก็พูดออกมาเลยว่า a, so desu ka แต่น้ำเสียงมันนี่ไม่รู้จะอธิบายยังไง บอกได้คำเดียวว่าตอแหลมากกกกก

2. เทียระ จากกัมพูชา เพื่อนบ้านเรา ผู้ที่เดินทางมาโอกินาว่าด้วยเครื่องบินลำเดียวกัน แต่มันเป็น TG แต่ทำไมกรูได้ JAL เนี่ยยยย กินอาหารบนเครื่องก็ไม่อิ่ม T_T ช่างมัน มาเผาเพื่อนต่อดีกว่า ฮ่าๆๆ ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าเพราะอะไร เสียงตัว T ถึงออกเป็น S (ส) อย่างเช่น information ปกติจะอ่านว่า อิน-ฟอ-เม-ชั่น แต่มันจะอ่านว่า อิน-ฟอ-เม-ซั่น ยิ่งวันก่อนเจอมันอธิบายว่า คอนโซ้น ใบ้รับประทานด้วยความงงว่ามันพูดว่าอะไร นั่งมองหน้ากับพี่อุกันสองคน สุดท้ายก็ต้องเดาว่ามันพูดว่าอะไร ก็เลยได้คำว่า Control นั่นเอง เทียระมักจะทำให้ผมงงกับภาษาของเขาเสมอ (อาจเป็นเพราะความสามารถของผมยังไม่ถึงขั้นก็ได้มั๊ง) เวลามันพูดนะชอบกระดกลิ้นเหมือนมีตัว ร เรือ ควบกล้ำ ตอนนั้นมันถามผมว่าผมมี network cable ตั้งนานกว่าจะเข้าใจ จนต้องให้ไอ้เพื่อนซาอุฯมันมาบอก ถึงเข้าใจ ฮ่าๆๆ ยิ่งพูดยิ่งทำให้รู้ว่าภาษาอังกฤษของผมก็ห่วยเหมือนกัน ฮ่าๆๆ

อีกเรื่องนึงที่อยากขอเผาหน่อย คือมันทำให้ผมไม่กล้าใส่ชุดบาสที่ผมเอามาจากเมืองไทยไปเล่นบาส เพราะผมหน่ะเอาแต่ชุดโทนสีแดง สีส้มมา และเขาใส่ชุดไปเล่นฟิตเนสเกือบทุกวัน โดยชุดนั้นเป็นชุดสีแดงทั้งชุด โอ้วว มายกอดดดด ทำให้ผมต้องหาเสื้อสีอื่นมาสลับใส่ หรือไม่ก็ต้องหากางเกงสีอื่นมาใส่ เครียดเลยทีนี้ พี่น้องก็ดันบอกว่าดีออกจะได้รู้ว่าอยู่ทีมเดียวกัน เหอๆ เซ็งงงงง

3. มาเซล กับริชาร์ด จากแคมเมอรูน สองคนนี้ผมไม่ค่อยได้คุยมาก เพราะตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มันทำให้ผมประทับใจมาก คือกลิ่นตัว กล่าวคือ มันเหม็นมากกกกก ก็เลยไม่อยากคุยด้วย แต่หลังๆก็คุยกับพวกเขาอยู่นะ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่

วันนี้ก็รู้จักกันไปสี่คนแระ เอาไว้ฉบับๆต่อไปจะเล่าอีกนะครับ เหอๆ มีเรื่องเผาเพื่อนเยอะ ฮ่าๆๆ

Wednesday, August 19, 2009

ไก่ย่างเทอริยากิร้านของฮิโรซัง

ท่าประจำของพี่บิ๊กเวลาแกเจอก๊วน แกชอบทำท่าเหมือนกำลังกัดไก่ออกจากไม้ ซึ่งเพื่อนๆก๊วนแกจะเป็นอันรู้กันว่านั่นคือท่ากินไก่ย่าง(เทอริยากิ)ที่ ร้านของฮิโร่ซัง แต่ความหมายนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะอาจจะแปลผิดได้เสมอ (พี่บิ๊กแกมีไรให้เซอร์ไพร์สเสมอ ฮ่าๆๆ) เท่าที่ผมสังเกตดูนั้นมีสองความหมายคือ 1)ชวนคนนั้นไปกินไก่ย่าง หรือ 2)บอกคนนั้นว่าเมื่อคืนไปทานไก่ย่างมา ผมเองได้มีโอกาสไปร้านของฮิโรซังอยู่สามสี่ครั้ง ร้านของฮิโรซังนั้นเดินออกจาก OIC (Okinawa International Center : ที่พักของผม) มาทาง Front B จากนั้นเดินลงเขาประมาณ 300 เมตร (บอกแล้วว่ามันบ้านนอก จะไปกินไก่ทียังต้องเดินลงเขาเลย) พอเจอถนนใหญ่ให้เลี้ยวซ้าย ร้านของฮิโรซังจะอยู่หัวมุมพอดี สังเกตง่ายๆได้สองอย่างคือ 1)จะเห็นแมวสัญชาติญี่ปุ่น ตัวสีออกขาวๆเทาๆ ระบุไม่ได้เพราะไปทีไรก็มืดแล้วก็เลยมองไม่ค่อยเห็นสี แต่สังเกตที่ตา เพราะตามันจะตี่มาก ฮ่าๆๆ 2)ควันที่พวยพุ่งมาพร้อมกับกลิ่นหอมๆของไก่ย่างจะลอยมาเตะจมูกเข้าอย่างจัง เมื่อใกล้ถึงถนนใหญ่ เหมือนฮิโรซังพยายามเร่งเร้าให้เรารีบเดินให้ถึงร้านของแกเร็วขึ้น ร้านเทอริยากิของฮิโรซังเป็นร้านข้างถนนเป็นเหมือนเพิงหรือเค้าเตอร์ในบาร์ ร้านเหล้า หรือจะนึกถึงร้านราเมงที่มักปรากฎอยู่ในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ที่จะมีแต่เค้าน์เตอร์มีเก้าอี้สามสี่ตัววางเรียงรายอยู่หน้าร้าน แต่จะมีโต๊ะตัวเล็กๆพร้อมกับที่นั่งเสริมพิเศษอยู่ข้างๆร้านด้วย เมื่อถึงหน้าร้านจะเห็นพ่อครัว(คนปิ้งไก่) ลักษณะของคนโอกินาว่าตามตำราเป๊ะเลย นั่นก็คือ ตาโต ตัวเตี้ยล่ำคล้ำ คิ้วหนา ขนดก ฮิโรซังเป็นคนใจดีชอบคุยภาษาอังกฤษกับคนอื่น แต่ภาษาของแกก็ใช่จะดีอะไรหรอกนะ แกชอบติดพูดคำ กู๊ดดดดดด พร้อมกับทำชูนิ้วโป้งให้ หรือ โนกู้ดดดดด ก็จะเอาท่อนแขนประสานกันโชว์ขนแขนที่ยาวและดกดำ เขามักจะบอกว่าผมหน่ะ กู๊ดเฟซซซซ (หน้าตาดี) ถ้าอยู่กับพี่บิ๊กด้วยเขาก็จะหันไปบอกกับพี่บิ๊กอย่างนั้นเช่นกัน และถ้าบอกเช่นจะขาดไม่ได้คือจะบอกว่า Me too เสมอ ฮ่าๆๆ เอาเหอะ สนุกของแกก็เต็มที่เลย ฮิโรซังจะมีไก่ปิ้งอยู่สองแบบเท่าที่ผมเคยเห็นคือ ไก่ย่างราดซอส กับไก่กระเทียม ผมเคยกินแบบเดียวคือไก่ย่างราดซอส เนื่องจากพี่บิ๊กเตือนไว้ว่าไก่กระเทียมมันไม่อร่อย ฮ่าๆๆ พี่บิ๊กเองแกสนิทกับฮิโรซังมากพอสมควร แกเคยเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนร้านฮิโรซังไม่มีเบียร์ขาย แกก็เลยไปขอให้ฮิโรซังเอาเบียร์มาขาย และนั่นก็เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้ร้านแกขายของดีวันดีคืน และทุกๆวันจะเห็นนักศึกษาของ OIC ลงไปกินไก่ร้านฮิโรซังประจำ

เมื่อ ไปถึงร้านของฮิโรซังแล้ว จะได้ผมกับบุคคลคนนึงนั่งทานไก่พร้อมกับ Awamori ร้อน ที่ถูกเสริฟในแก้วมีหูทรงสูง คนๆนี้เป็นยิ่งกว่าขาประจำของร้านเลยก็ว่าได้ ชื่อของเขาคือ ไท้โชว์ ไท้โชว์เป็นผู้สูงอายุคนนึงผมสั้นสีขาว หูกาง หน้าผากย่น ฟันไม่ค่อยมี พี่บิ๊กมักจะให้ทุกคนเรียกแกว่า ปาจิงโกะเซนเซย์ (คำว่า Sen-Sei = อาจารย์) เพราะทุกคืนที่เราพบแกนั้นแกจะเล่นปาจิงโกะ ที่เดินถัดจากร้านฮิโรซังไปประมาณสิบเมตรได้ แกจะมาดื่มเหล้าขาวร้อนพร้อมกินไก่ย่างรอภรรยามารับทุกคืน และทุกคืนเวลากลับแกมันจะลืมไม้เท้าของแกเป็นประจำ เหอๆ (กินเหล้านี้มันดีจริงๆนะ ไม่เมาต้องใช้ไม้เท้า แต่พอเมาแล้วไม่ต้องใช้ก็ได้ ฮ่าๆๆ ไม่บอกก็น่าจะพอเดาได้ว่าเมาแล้วลืมหน้าลืมหลัง) และมีสิ่งหนึ่งที่แกมักจะทุกคืนเลยคือการขโมยผ้าเย็นออกมาจากร้านปาจิงโกะมา ให้พวกผมหรือนักศึกษาคนอื่นๆที่แกรู้จักและนั่งกินไก่ย่างอยู่ที่ร้านของฮิ โรซัง ความภูมิใจของแกอีกอย่างนึงคือการสอดนิ้วเข้าปากแล้วเป่าเสียงได้ (ที่โอกินาว่าใช้ประกอบการแสดงเต้นเอสะ) เพราะว่าทุกคืนพี่บิ๊กจะพยายามเป่าแต่ไม่มีเสียง อย่างไรก็ตามความพยายามของพี่บิ๊กอาจจะไม่เป็นเพียงความพยายามต่อไปก็ได้ เมื่อเริ่มเป่าได้นิดนึงแล้ว เอิ๊กๆๆ พยายามเข้านะลูกพี่เรื่องของวันนี้จะไม่ค่อยมีเรื่องของพี่น้องและพี่อุสักเท่าไหร่เลย เพราะว่าพี่แกไม่ค่อยไปร้านนี้กับพี่บิ๊กด้วย เอิ๊กๆๆ เอาไว้เรื่องต่อๆไปจะแวะมาเผานะครับ

สำหรับ ผมแล้วการได้มาร้านฮิโรซังนั้นก็ตั้งใจจะมาฝึกภาษาญี่ปุ่น และภาษาโอกินาว่าด้วย ฮ่าๆๆ แต่จะได้เรื่องหรือไม่นั้นต้องรอดูตอนต่อไปนะครับ อิอิ

ระวังไว้นะครับ ถ้าใครคุยกับฮิโรซังมากๆ จะติดคำว่า กู๊ดดดด กับ โนกู๊ดดดดด นะครับ อิอิ อาจจะไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นแถมภาษาอังกฤษอาจจะแย่ลงก้ได้นะครับ แต่ผมชอบนะ คิดว่าคงจะไปบ่อยๆ ถ้ามีเวลา

 ปล. ยังไม่ได้ลงไปถ่ายรูปร้านฮิโรซังเลย ถ้าถ่ายแล้วจะเอามาให้ดูนะครับ

Sunday, August 16, 2009

เที่ยวชม ปราสาทชูริ

ปราสาทชูริ หรือ Shuri Castle หรือคนที่นี่เรียก ชูริโจ เป็นปราสาทของที่สวยงามและขึ้นชื่อของที่นี่ ถ้ามาที่นี่แล้วไม่ได้มาปราสาทนี้ถึงว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

วันที่ 16 สิงหาคม 2552 - ปราสาทชูริ จัสโก้ และแมกก้าบังโก

วันนี้ เป็นเช้าที่ฟ้าค่อนข้างสวยอีกวัน แต่วันนี้เมฆเยอะกว่าเมื่อวาน ก็หวั่นใจเล็กน้อยว่าฝนจะตก แต่ก็ไม่กลัว วันนี้วันอาทิตย์เลยหยิบเสื้อแมนยูตัวเก่งสีแดงข้างหลังติดเบอร์ 10 Rooney พร้อมด้วยกางเกงสีเขียวขี้ม้าเข้มกระเป๋ารอบกางเกง อิอิ กระเป๋าคาดเอวคาดไว้ด้านหลังในนั้นมีเศษเหรียญและพาสปอร์ต วันนี้จะออกรบพร้อมด้วยอาวุธคู่กายเพียงชุดเดียว นั่นก็คือกล้อง D80 และเลนส์ 17-50 F2.8 แต่มีออปชั่นพิเศษคือฟิลเตอร์ CPL ที่จะขาดไม่ได้เลยในวันที่ฟ้าใสแบบนี้

8.30 น. เป็นเวลาที่กลุ่มเรานัดกันที่ Front ของหอ ซึ่งแน่นอนครับ ว่าผู้ร่วมอุดมการณ์ในครั้งนี้ประกอบด้วย พี่บิ๊ก พี่น้อง พี่อุ และผม เช่นเคย 4 คนไทย ที่จะต้องเผชิญชะตาชีวิตแบบเดียวกันในโอกินาว่า แต่พี่บิ๊กกับพี่น้องก็จะกลับเมืองไทยก่อนแล้ว แล้วหลังจากนัดกันเราก็ไปทานอาหารเช้าที่ Dining Hall เช่นเคย ประหยัด ฮ่าๆๆ จากนั้น 9.00 น. รถแท๊กซี่มาจอดรอรับอยู่หน้าหอพัก ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็ถึงปราสาทชูริ พอมาถึงพี่น้องก็เข้าไปหยิบแผ่นประทับตราแสตมป์มาให้สองชุดให้ผมกับพี่อุคน ละชุด เพื่อที่จะไปตระเวณหาสถานที่ต่างๆในบริเวณรอบๆปราสาท แดดแรงมากพอควรแต่ก้สลับกับบางช่วงที่มีเมฆเหมือนกัน พอผ่านประตูแรกเข้ามาก็จะเห็นเป็นเหมือนกำแพงหินขนาดใหญ่รอบๆปราสาทมีบันได ขึ้น เข้าออกตามประตูต่างๆ รอบๆกำแพงเมือง จากนั้นพอเข้าไปถึงข้างในได้ ก็ต้องจ่ายเงิน 800 เยน เพื่อเข้าไปชมความงามภายในปราสาท (ไปเดินตากแอร์) ข้างนอกแดดแรงมากกก ร้อนมาก เดินเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็เหงื่อท่วมเลยอ่ะครับ ร้อนจริงๆ ก็เลยไปตากแอร์ ลืมบอกไปว่าช่วงที่เดินดูตามบริเวณต่างๆ รอบๆปราสาทนั้นก็เก็บแสตมป์ไปด้วย อิอิ ได้ครบด้วย โดยที่มีเพียงผมกับพี่อุเท่านั้นที่เข้าไปข้างใน แต่พี่บิ๊กกับพี่น้องรออยู่ทีศูนย์อาหาร จากนั้นเมื่อผมกับพี่อุเดินครบทุกจุดแล้วก็ตามไปสมทบกับพี่บิ๊กและพี่น้อง ที่รออยู่ ตอนนั้นก็ประมาณ 11.00 น.แล้ว ก็ไปต่อกันที่จัสโก้ ไปหาอาหารเที่ยงทานกัน ก็เดินทางโดยรถเมล์ต่อรถไฟฟ้า ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว ซึ่งสถานีแอบไกลเหมือนกันจากที่พัก อาหารเที่ยงวันนี้ก็ซัดข้าวคัทสึด้งและทาโกะยากิ ฮ่าๆๆ จะลดความอ้วน จะไหวไหมเนี่ย ซัดซะเต็มคราบเลย หลังจากทานเสร็จก็ไปเดินเล่นอยู่ในจัสโก้อยู่จนประมาณ 14.30 น.ก็ออกเดินไปแมงก้าโซโก้ ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที่ก็ถึงแล้ว ห้างนี้เป็นห้างที่ขายพวกโมเดล เสื้อผ้ามือสอง เกมส์ ฯลฯ เข้าทางเลยครับ ก็เลยไปดูของฝากให้เพื่อนรักที่ให้มันเฝ้าบ้านให้ช่วงที่ผมไม่อยู่ แต่ผมก็หาของให้มันไม่ได้ แอบเสียใจเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร เพราะยังไงผมก็ยังอยู่อีกนานอยู่ ฮ่าๆๆ กลัวเหมือนกัน กลัวว่าจะซื้อของเล่นมาเต็มห้อง แล้วตอนขนกลับเมืองไทยจะลำบากเอา ฮ่าๆๆ กลัวแค่นี้แหล่ะครับ เอิ๊กๆ เดินจน 15.30 น.ก็ไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับที่พัก แล้วก็ลองเดินกลับจากสถานีรถไฟฟ้ากลับที่พักด้วย ได้สักสองเหนื่อยเลยแหล่ะครับ ซึ่งขากลับผมก็แวะซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็ซื้อข้าวปั้น เอาไว้กินเป็นอาหารเย็นวันนี้ด้วย พอกลับถึงหอก็ออนไลน์แล้วก็อัพรูปของเมื่อวานนี้และวันนี้เรียบร้อยหมดแล้ว รอชุดใหม่ ฮ่าๆๆ คงจะนอนแล้วหล่ะครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องเริ่มเรียนแล้ว ตื่นเต้นจัง เพราะเรียนครั้งนี้เรียนนานที่สุด เหมือนมาเรียนต่อต่างประเทศเลย ก็จะลองดู ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน สู้ๆ ฝันดีนะครับ

ดูรูปที่ http://foh9.multiply.com/photos/album/82

20090816 Shuri Castle




20090815 Tsuken Island (Carrot Island)




Tsuken Island in Okinawa

อ่านรายละเอียดการเดินทางได้ที่ http://foh9.multiply.com/journal/item/25/25

เกาะแครอท (Tsuken Island)

รูปของเกาะแครอทอยู่ที่

http://foh9.multiply.com/photos/album/80/20090815_Tsuken_Island_Carrot_Island

การเข้าถึงผู้คนที่โอกินาว่าไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งเราเป็นนักเรียนต่างชาติด้วยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นคนไทย ผู้คนที่นี่ชื่นชอบประเทศไทย อาจจะเป็นเพราะมีวิวทิวทัศน์สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ อาหารอร่อย และมีค่าใช้จ่ายต่ำ เหตุผลว่าทำไมถึงเข้าถึงผู้คนที่นี่ไม่ยากก็เพราะว่า ที่โอกินาว่าจะมีชุมนุมอาสาสมัครที่จะพานักศึกษาต่างชาติไปเที่ยวในวันหยุด กล่าวคือกลุ่มคนที่นี่เขาจะรวมตัวกันในวันหยุดจัดทริปท่องเที่ยวอาจจะแบบไปเช้าเย็นกลับหรือค้างคืนก็ได้ แล้วจากนั้นเขาจะมาที่ศูนย์เพื่อประกาศว่าจะมีใครไปเที่ยวด้วยหรือไม่ แล้วก็ให้ลงชื่อ ผมมองว่าเป็นการได้ประโยชน์ทั้งคู่ อันดับแรกเลยคือนักเรียนต่างชาติได้ท่องเที่ยวในโอกินาว่าเนื่องจากที่โอกินาว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนั้นค่อนข้างไกล ทำให้เวลาไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยสะดวก แถมการสื่อสารอีกก็จะยิ่งทำให้นักเรียนต่างชาตินั้นเจอปัญหาใหญ่เลยครับ ส่วนคนที่มาพาไปเที่ยวนั้นเขาก็ได้เที่ยวกับเราแน่นอน และการฝึกภาษาอังกฤษ (ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของอาสาสมัครกลุ่มนี้เลยก็ว่าได้ครับ) ผมได้ไปเที่ยวมาแล้วครับ เป็นกันเองมาก อบอุ่น และเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่เลย รายละเอียดการเดินทางดังนี้นะครับ

วันที่ 15 สิงหาคม 2552

วันนี้ตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่งด้วยความมึนงง น้ำมูกไหล เหมือนแพ้อากาศในตอนเช้าเหมือนทุกๆวัน จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อเกาะสมุย กางเกงลายดอกสีส้มแป๊ดดดดด รองเท้าแตะคีบสีแดงแรงฤทธิ์ พร้อมด้วยเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นสีเขียวขี้ม้า มีกระเป๋าเสื้อสองฝั่งเอาไว้ใส่ของเล็กน้อย (แต่งตัวแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่าไปไหน เอิ๊กๆๆ เที่ยวทะเลนั่นเอง) จากนั้นก็จัดกระเป๋า ขนอาวุธชุดใหญ่ไปด้วย อันได้แก่ กล้อง D80 พร้อมกริป ติดกับเลนส์ Tarom 17-50 mm F/2.8 เลนส์อีกตัวเป็น 70-200 mm F/2.8 (เอาไว้เก็บของฝากไปฝากเพื่อนที่เมืองไทย เอิ๊กๆๆ) แฟลช SB800 และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือฟิลเตอร์ CPL จากนั้นเมื่อจัดกระเป๋ากล้องเสร็จลงไปรอกินข้าวเช้ากับก๊วนคนไทยที่นี่อันประกอบด้วย พี่บิ๊ก พี่น้อง และพี่่อุ พวกเรากินข้าวเช้ากันที่ Dining Hall ตอน 7.30 น. แล้วก็ออกเดินทางตอน 7.45 น. โดยเริ่มต้นจากหน้า Front B รถที่ผมไปด้วยนั้นเป็นของครอบครัวคนโอกินาว่าเล็กๆ ที่มีพ่อบ้านชื่อมาซารุซัง ลักษณะสูงประมาณ 175 ซม. ใส่แว่นตา บุคลิกขรึมๆ หรืออายก็ไม่แน่ใจ เพราะเขาไม่ค่อยพูดอังกฤษกับพวกผม และแม่บ้านชื่อมายูมิซัง บุคลิกไม่สูง อวบๆนิด อารมณ์ดี เขาต้องการฝึกภาษาอังกฤษมากเลยเข้าร่วมกลุ่มนี้ บนรถเขาพยายามจะสื่อสารกับผมด้วยภาษาอังกฤษซึ่งก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็เหมือนกับตอนผมฝึกภาษาเหมือนกัน ก็อาศัยมั่วและพยายามอธิบาย พอมาถึงที่ท่าเรือก็จะเห็นคุณยูเมะโกะ (พี่บิ๊กและพี่น้อง พาเรียกกันว่าคุณป้านักกีฬา หรือไม่ก็คุณป้าอดิดาส เนื่องจากป้าแกแต่งตัวชุดออกกำลังกายเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นพรีเซ้นเตอร์ของอดิดาสด้วยหรือไม่ ถึงแต่งตัวด้วยชุดอดิดาส) ซึ่งเธอมาพร้อมด้วยหลานชายสองคนตัวเล็กๆรออยู่แล้ว เช้าวันนี้เป็นวันที่สวยงามมากฟ้าเปิดเป็นใจให้กับการถ่ายรูปของผม ผมจึงงัดอาวุธคู่กายพร้อมเปลี่ยนฟิลเตอร์ให้เป็น CPL ซะ พร้อมสอยรูปอาคารที่มีฉากหลังฟ้าเข้มๆ จากนั้นก็รอสมาชิกคนอื่นๆ ประกอบด้วย พี่บิ๊ก พี่น้อง เลสลี่ เดวิด และเฮนรี่ ซึ่งกระจายๆกลุ่มกันมากับครอบครัวต่างๆที่เป็นกลุ่มอาสาสมัคร พร้อมมากันครบก็ประมาณเก้าโมงกว่าๆ เราก็ออกเดินทางด้วยเรือ ไปยังเกาะ Tsuken ซึ่งเกาะนี้ปลูกแครอทเยอะ จึงมีอีกชื่อว่า เกาะแครรอท (Carrot Island) (ตรูข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูแครอทเหรอเนี่ย.....) พอมาถึงเกาะก็ต้องนั่งรถต่อไปอิกด้วยรถบัสจากท่าเรือไปฝั่งที่มีชายหาด ชายหาดที่นี่นั้นเป็นทรายหยาบๆ สลับกับโขดหิน พร้อมด้วยเศษประการัง ถอดรองเท้าเดินก็ได้เจ็บแน่นอนครับ เขาบอกว่าชายหาดที่นี่สวยมาก (แต่ผมว่าเมืองไทยสวยกว่าเยอะครับ) จากนั้นตอน 11 โมง เราก็เริ่มทำอาหารกินกัน โดยมีกะทะเทปันมาให้ ก็เอาไก่ เนื้อ หมู ไปวาง โดยผมเป็นพ่อครัว ฮ่าๆๆ จัดไปดอกแรก ก็ไม่ได้ทำไรมากนอกจากแค่จับพลิกด้านไม่ให้ไหม้ (มันยากตรงไหนฟะเนี่ย) พอกินเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปเล่นน้ำ หรือพักผ่อนกันตามสบาย โดยผมแน่นอนครับว่าต้องทำภารกิจที่เพื่อนที่เมืองไทยสั่งนักย้ำหนาว่าถ่ายรูปสาวญี่ปุ่นในชุดบีกินี่ ผมก็เลยเปลี่ยนเลนส์เลยครับ ตั้งป้อมจากระยะไกล สอยมาพอหอมปากหอมคอ เนื่องจากไม่ค่อยมีสาว มีแต่คนมีอายุ ฮ่าๆๆ แอบเซ็งเล็กน้อย แต่ยังไงก็พอมีให้ได้ตื่นเต้นบ้าง อิอิ จากนั้นตอนบ่ายโมงกว่าทางกลุ่มอาสาสมัครนั้นก็จัดกิจกรรมให้เล่นนั่นก็คือ ปิดตาตีแตงโม (เหมือนปิดตาตีหม้อที่บ้านเรานั่นแหล่ะครับ) อิอิ แตงโมแตกกินแตงโมหมดแล้วก็ชักภาพหมู่ร่วมกันแล้วก็เล่นน้ำกันอีกนิดหน่อย ส่วนผมก็หนีต่อไปซุ่มต่อครับ อิอิ งานด่วนภารกิจหลัก จากนั้นก็เดินทางกลับตอนบ่ายสามโมงครึ่ง แล้วก็นั่งเรือข้ามกลับมาแล้วก็ขึ้นรถกลับหอที่ศูนย์ พอถึงศูนย์ผมก็ไม่ไหว ขึ้นห้องอาบน้ำกินยาแล้วก็นอน เพราะเหมือนไข้จะขึ้นหน่ะครับ ต้องรักษาตัวให้หาย เพราะพรุ่งนี้จะไปปราสาทชูริ ฮ่าๆๆ กลัวไม่ได้เที่ยว เอาไว้เด๋วมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ อิอิ

 

Friday, August 14, 2009

เริ่มต้นบันทึกความทรงจำที่โอกินาว่า

โอกินาว่าเป็นจังหวัดที่เป็นเกาะ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งไกลจาก Main Land มาก ซึ่งมันก็คือพื้นที่บนเกาะญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามโอกินาว่าเป็นเกาะที่ตอนแรกมีคนบอกผมว่าบ้านนอกมาก ไม่มีอะไรเที่ยวเลย ซึ่งมาถึงตอนแรกก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทีพักของผมอยู่บนเนินเขา สุดๆจิงๆ ซูปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่สุดก็เดินประมาณ 15 นาทีถึง เหอๆ ได้สักเหนื่อยเลยแหล่ะ

แต่ผมก้ได้พบกับความน่ารัก ของคนโอกินาว่า ซึ่งคงหายากในโตเกียวแน่นอนครับ ไม่ใช่หน้าตานะครับ แต่เป็นนิสัย มันก็คงเหมือนกับคนต่างจังหวัดที่บ้านเราแหล่ะครับ ยิ่งถ้าหากเราพูดภาษาโอกินาว่าได้ด้วยนะ นิดเดียวก็ยังดี เขาจะยิ่งรักเรามาก ฮ่าๆๆ ผมลองมาแล้ว อ้อ... ผมลืมบอกไปว่าภาษาโอกินาว่านี่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นนะครับ ไม่ใกล้เคียงด้วย ผมก็พูดได้แค่ทักทายนิดๆหน่อยๆ ผมมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่า แต่ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อน ฉบับนี้คงเป็นฉบับเริ่มต้น คงจะกล่าวถึงภาษาโอกินาว่าแล้วกันนะครับ แล้ววันๆต่อไปจะเล่าเรื่องอื่นๆ เช่นพี่ๆคนไทยที่อยู่นี่มาก่อน แล้วเขากะลังจะกลับเมืองไทย คุณ Hiro-san เจ้าของร้านเทอริยากิ ฯลฯ 

Hai-Zai = Hello, Hi
Ni-He-De-Bi-Ru = Thank you
Ma-Sai-Been = Delicious
Cha-Gan-Chou = How are you?

ผมอาจจะเขียนคำอ่านไม่ค่อยถูกนักนะครับ  แต่ก็อ่านประมาณนี้ อิอิ

พรุ่งนี้ผมจะไปเที่ยวเกาะ แต่เกาะไรก็ไม่รู้ หวังอยู่อย่างเดียว สาวๆญี่ปุ่นในชุดบิกีนี่ ฮ่าๆๆ