Friday, August 28, 2009

20090828 จากกันแค่ชั่วคราว

ผมใช้ชีวิตที่โอกินาว่าได้สองอาทิตย์เศษๆแล้ว ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้เห็นโลกในอีกมุมที่ต่างไปจากที่เคยมอง ได้เห็นความมีน้ำใจ โอบอ้อมอารีของคนที่นี่ และที่สำคัญที่สุดเลยคือมิตรภาพระหว่างกลุ่มคนไทยที่อยู่ที่ OIC แห่งนี้ จากบล็อกของวันก่อนๆ ผมเคยพูดถึงมาบ้างแล้ว ซึ่งก็มีพี่บิ๊ก (หัวโจกนำขบวนฮา) พี่น้อง (คอยดูแล จัดการเรื่องต่างๆ) พี่อุ (เป็นผู้ติดตามที่ดี) ส่วนผม (จอมมั่วประจำ) ตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่บิ๊กและพี่น้องได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาขณะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แก่ผมและพี่อุไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญๆต่างๆ ผู้คนหรือเจ้าหน้าที่ที่จะขอความช่วยเหลือได้ ข้อห้ามหรือข้อควรระวัง หรือแม้กระทั่งภาษาโอกินาว่าที่ผมได้รับการถ่ายทอดตรงจากพี่บิ๊ก ผมใช้กับคนพื้นเมืองที่นี่ ถือว่าได้ผลมากเลยครับ เขาตื่นเต้นกันใหญ่ที่ผมรู้จักภาษาของเขา ฮ่าๆๆ (ของเขาดีจริงๆ)

พี่บิ๊ก เป็นคนรูปร่างอวบนิดๆ สูงประมาณ 175 ซม. ผมหยักศก ผิวคล้ำนิดๆ ชอบฮา เล่นมุขกระจาย แต่ชีวิตนี้แกจะขาดไม่ได้อยู่อย่างเดียว คือ "เบียร์" เบียร์ยี่ห้อไหน รสชาติเป็นไง หรือร้านไหนขายเบียร์ถูกหรือแพง ถ้ามีโปรโมชั่นราคาถูก แกก็รู้เช่นกัน เปรียบกับว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้เบียร์โอกินาว่าเลยก็ว่าได้ 

พี่น้อง พี่สาวคนนี้สูงประมาณเกือบๆ 170 ซม.ได้ ผมยาวหยักศก เวลาไปไหน แกจะเป็นคนคอยจัดการการเดินทาง หรือวางแผนเที่ยวให้เรา รวมทั้งคำแนะนำต่างๆ พี่น้องจะมีสิ่งนึงที่ผมประทับใจคือ เวลาที่ผมเล่าเรื่องอะไรก็ตาม พี่น้องมักจะนั่งฟังอย่างตั้งใจเสมอ ไม่ว่าผมจะเล่ารู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม ซึ่งผมเองก็รู้นะครับ ว่าผมหน่ะส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พี่น้องเองก็ตั้งใจฟังทุกครั้ง ฮ่าๆๆ

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 เวลาประมาณ 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ผมและพี่อุได้เดินทางมาถึง OIC และเป็นช่วงเวลาที่ผมได้รู้จักกับพี่บิ๊ก เนื่องจากพี่บิ๊กได้ข่าวมาว่าจะมีคนไทยมาวันนี้ ดังนั้นจึงมาดักรอ และคำพูดแรกที่พี่บิ๊กเอ่ยนั้นมันยังติดตรึงใจผมอยู่จนวันนี้ เสียงที่ใหญ่ออกหล่อนิดๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติยินดีที่ได้เจอผม "เฮ้... น้องคนไทยใช่มั้ย" ผมกับพี่อุก็ถึงกับอึ้ง เพราะช่วงที่เราคุยกันก่อนจะเดินทางมานี้ ก็คิดว่าจะต้องช่วยกันเพราะอาจจะเป็นคนไทยสองคนที่นี่ก้ได้ แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์ยังเมตตากับเราอยู่ ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่บิ๊กและพี่น้อง แล้วสิ่งต่างๆในหัวผมมันประมวณผลอย่างรวดเร็วและมากมาย เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พยายามอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูงมาก จากนั้นไม่นานผมก็เริ่มตั้งสติได้ก็ยกมือไหว้พี่บิ๊กแล้วถามว่าพี่ชื่ออะไร มาเรียนที่นี่ใช่มั้ย พวกเราสนทนาทักทายกันนิดหน่อย พี่บิ๊กก็สอนวิธีการสั่งอาหารที่โรงอาหาร แล้วผมกับพี่อุก็ได้นั่งทานข้าวกับพี่บิ๊กที่โต๊ะประจำประเทศไทย (พี่บิ๊กบอกว่าโต๊ะตรงที่เรานั่งนั้นแต่ก่อนตอนช่วงที่คนไทยมาเยอะๆ ก็จะจับจองที่ตรงนี้ จนกลายเป็นที่ประจำไปแล้ว) ขณะทานอาหารกันพี่บิ๊กก็เล่าเรื่องต่างๆมากมาย และตอนเย็นวันนั้นหลังจากที่พี่ๆเขาเลิกเรียนกันก็นัดกันมาทานข้าวกันทั้งสี่คน ซึ่งพี่น้องที่ไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกับเราก็มากันพร้อมหน้า ทำให้ครบขา (เตรียมแจกไพ่) เหอๆ ครบสมาชิก fantastic 4 หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเราก็เดินไปห้างซังเอ (San-A) กัน 

หลังจากวันนั้นที่เราใช้ชีวิตร่วมกันของคนไทยในโอกินาว่า ตั้งแต่เช้า 08.30 น.เราจะนัดกันที่ Front B เพื่อลงไปทานข้าวพร้อมกัน เที่ยงก็จะเจอกัน ส่วนตอนเย็นส่วนใหญ่ก็จะทานข้าวด้วยกัน แล้วจากนั้นก็จะออกไปไหนมาไหนเสมอ ทุกครั้งที่กินข้าว คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตที่นี่นั้นก็มักจะถูกพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งผมเองก็รับรู้ได้จากความรู้สึกว่าเหมือนพี่เขากำลังสอนน้องๆอยู่เลย หรืออาจเป้นเพราะผมนั้นมีแต่พี่ๆเสมอ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมากๆเวลาที่ได้คุยกับพี่ๆทั้งสอง

แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ ถึงแม้ว่าจะไม่นาน แต่ความผูกพันธ์ของพวกเรานั้นรู้สึกยิ่งใหญ่เหลือเกินเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว วันนี้เป็นวันที่เราต้องจากกัน วันนี้เรานัดทานข้าวเช้ากันตอน 7.30 น. ซึ่งเร็วกว่าทุกวัน รู้สึกหวิวๆเหมือนกันนะครับ เมื่อถึงวันที่ต้องจากกัน จากนั้นเวลา 9.20 น. รถตู้และรถเก๋งสีดำ เป็นรถที่มารับพี่ๆ พร้อมด้วยเพื่อนๆจากประเทศอื่นที่ต้องกลับกันวันนี้ รถเก๋งคันใหญ่สีดำเป็นรถที่พี่ๆเขาขึ้นกัน กระโปรงท้ายที่อัดแน่นด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ พร้อมเป้อีกใบของพี่บิ๊ก ได้ถูกปิดฝาลงเสียงดังพอควร เพื่อนๆที่มาจากประเทศต่างๆ และเจ้าหน้าที่ก็มายืนส่งพี่ๆขึ้นรถ ไม่ว่าจะเป็นเทรุย่าซัง มิโดริซัง ฯลฯ ร่ำลากันจับมือร่ำลากันครบทุกคน ส่วนผมกับพี่อุมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะเอ่ย แต่มันก็เหมือนมีน้ำท่วมที่ปากไม่รู้จะเอ่ยอะไร ก็ได้แต่ยกมือไหว้พี่ๆเขาพร้อมกับอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัย แล้วผมกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ เราจะไปทานข้าวกัน แล้วผมจะจัดการเอาของฝากที่พี่บิ๊กฝากให้คนญี่ปุ่นให้ครบ แล้วก็ถามคุณจุนโกะเรื่องสมาคมโอกินาว่าในประเทศไทย นึกถึงช่วงเวลาที่ต้องร่ำลากันเมื่อเช้าแล้วก็ยากที่จะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ แต่ในเมื่อเราเลือกที่จะมาที่นี่เอง เราก็ต้องพร้อมที่ก้าวเดินต่อไป โดยมีจุดมุ่งหมายในการเรียนที่นี่ให้สำเร็จ แล้วกลับไปเจอพี่ๆเขาตามที่เราได้สัญญากันไว้

ตอนเที่ยงผมนั่งทานข้าวกับพี่อุ ก็ยังอดคิดถึงภาพพี่บิ๊กและพี่น้องนั่งอยู่ เล่าเรื่องราวๆต่างๆมากมายไม่ได้ ยอมรับเลยนะครับว่าก็เศร้าเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าแป๊บเดียวก็สองอาทิตย์แล้ว อีกสักพักก็สี่เดือนแล้ว ไม่นานหรอก เด๋วก็จะได้เจอกันใหม่ 

ตอนที่ผมกำลังเขียนบล็อกนี้พี่บิ๊กกับพี่น้องคงกำลังอยู่บนเครื่องจากโอซาก้าไปกรุงเทพอยู่แน่ๆเลย ขอให้พี่ๆเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ ผมสัญญานะครับว่าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และกลับไปจะไปทานข้าวด้วย 

สุดท้ายนี้ฝากกลอนไว้ แต่งช่วงที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ น่าจะถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีกว่า 

แม้วันนี้เราจำต้องจากกัน
ช่างเป็นวันที่แสนโศกเศร้าหนา
แต่จากกันครั้งนี้แค่ชั่วครา
รอจนกว่าจะพบหน้ากันอีกเอย

5 comments:

Kitisak Jirawannakool said...

...

r s said...

แค่มาอ่าน บลีอก ยังรู้สึกใจหาย ไปด้วยเลย
ซ้อมไว้ก่อน อีก 4 เดือนก้อต้องร่ำลา กะ ชาวโอกินาว่า เช่นกัลลลล

สุ้ๆ คร้าบ Virus Man

กั๊กคูล่า :[ said...

ครับ น่าประทับใจนะครับ ที่คนไทยด้วยกันช่วยกัน
แต่บางที่ ที่มีคนไทยเยอะ ๆ บางทีก็...

Weerapon Paisarntanakul said...

น่าประทับใจคนไทยจริงๆ
คนไทยไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก
ก้อมีน้ำใจ ช่วยเหลือกันเสมอ
นี่แหล่ะ เสน่ห์คนไทย

sasirin peampongsanta said...

ว่าจะไม่เศร้านะ แต่พอมาอ่านทำเอาแอบเศร้าเหมือนกัน
สู้ๆ นะจ๊ะ เอาไว้กลับมานัดกินข้าวกันอีกที
ดูแลกันดีๆล่ะ