Sunday, August 30, 2009

พิพิธภัณฑ์โอกินาว่า กับการเริ่มต้นเดินทางด้วยตัวเองอีกครั้ง

หลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมงเป๊ะ ที่ลาจากพี่น้องและพี่บิ๊ก ผมกับพี่อุก็เริ่มออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆกันต่อไปในโอกินาว่าอีกเกือบสี่เดือนที่เหลือ เป้าหมายของวันนี้คือพิพิธภัณฑ์โอกินาว่า ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในโอกินาว่าครั้งแรกที่ไม่มีพี่บิ๊กกับพี่น้องนำทัวร์

วันที่ 29 สิงหาคม 2552

คณะทัวร์ในวันนี้มีผมเป็นแกนนำ และมีผู้ติดตามได้ พี่อุ และ อัลมากิ (เพื่อนร่วมชั้นมาจากซาอุดิอาระเบีย ซึ่งผมยังไม่ได้เผาให้ฟัง อิอิ) คณะทัวร์ทั้งสามออกจาก OIC เวลา 09.30 น. เราก็เดินออกมาออกมาทางสุสานที่อยู่ข้างกับอาคารหอพัก OIC เดินตัดมาเรื่อยๆ ท่ามกลางความร้อนของแสงแดดแห่งโอกินาว่า ที่ผมกลัวมาก กลัวจะทำให้ผิวอันบอบบางบนชั้นไขมันจะไหม้เกรียมเหมือนแผงหมูกรอบที่แขวนไว้หน้าร้านขายข้าวหมูแดงหมูกรอบ เดินมาประมาณ 45 นาที ก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดชื่อสถานี Gibo (คิดดูเองว่าบ้านนอกขนาดไหน แต่สงสัยว่าทำไมวันนี้มันอยู่ไกลกว่าเดิมหว่าาา) พอได้หลบแดดแล้วเราก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปสถานี Oromomachi ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสามสถานี พอมาถึงที่สถานี้ผมก็อดที่จะหยิบอาวุธคู่กายพร้อมเปลี่ยนเป็นฟิลเตอร์ CPL ทันที แล้วส่องสักรูปสองรูปเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องเล็กน้อย เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมาก เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากท้องฟ้าจะใสแล้วยังมีเมฆเป็นก้อนๆ ให้พอหยิบเลือกมาประกอบท้องฟ้าในฉาก แต่หากมองผ่านเลนส์ที่ใส่ฟิลเตอร์ CPL ด้วยแล้ว จะเห็นริ้วของก้อนเมฆเป็นเส้นขีดๆ กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ราวกับว่ามีเด็กมือบอนเอาสีขาวพ่นริ้วขีดตามกำแพงต่างๆ ดูแล้วก็ช่างงามตาเหลือเกิน

หลังจากออกจากสถานี ก็เดินต่อไปอีกผ่านห้างปลอดภาษีที่ใหญ่ชื่่อ DFS แต่นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา เดินต่อไปอีกท่ามกลางแดดที่ความแรงขนาดจะปิ้งเนื้อสุกได้ แสงแดดที่สาดมาจากทางด้านหลังของเรา ทำให้เรารู้สึกถึงความทรมานจากการที่ต้องรับความร้อนจากแสงแดดที่กำลังแผดเผาหลังของเราอยู่ เดินผ่านมาสองบล็อก ประมาณ 15 นาที เราก็จะพบกับอาคารรูปทรงประหลาดสีขาว ซึ่งหากจินตนาการดูนั้นเหมือนเป็นซากอารยธรรมชั้นสูงที่ถูกค้นพบใหม่กลางใจเมือง นั่นก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์โอกินาว่า หรือ Okinawa Perfectural Museum 

พอเข้ามาด้านในจะพบกับความอลังการ เพราะในนั้นมีงานแสดงนิทรรศการทั้งเป็นงานแสดงหลัก (Permanent Exhibition) และงานแสดงศิลปกรรม (Art Museum) แต่ผมและคณะลูกทัวร์ตกลงกันว่าจะดูเฉพาะงานแสดงหลักเท่านั้น เนื่องจากค่าเข้าชมงานแสดงศิลปะค่อนข้างแพง และก็ผลงานไม่รู้จักด้วย ก็เลยเสียแค่ 400 เยนสำหรับค่าเข้า จากนั้นก็ไปยืม ipod สำหรับการอธิบายภายในงานแสดงนี้ มีให้เลือกหลายภาษา ยกเว้นภาษาไทย T_T หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็เดินหน้ามุ่งเข้าสู่งานแสดงหลักกันเลย

ในงานแสดงหลักนี้จะแสดงเกี่ยวกับโอกินาว่า ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ วัฒนธรรม การเมือง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ รวมทั้งศิลปะ ทั้งที่เป็นแบบงานปติมากรรม งานจิตรกรรม หรือเครื่องแต่งกายต่างๆ ล้วนดูแล้วระรานตา ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นจัดแสดงสิ่งต่างๆโดยแบ่งเป็นโซนต่างๆ ทั้งหมด 6 โซน ซึ่งบางโซนอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ ดังนั้นผมจึงต้องขออภัยไว้ก่อนถ้าหากว่าไม่มีภาพในบางโซนมาให้ได้ยลกัน โอเคหล่ะ ตอนนี้เรามาเดินเข้าไปชมงานแสดงข้างในด้วยกันทีละโซนเลยดีกว่า

1. General Exhibition Hall จัดแสดงเป็นห้องโถงใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับโซนต่างๆ ในโซนนี้จะแสดงเรื่องราวทั่วๆไป ของโอกินาว่าตั้งแต่เรื่องลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ สิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดที่บ่งบอกเรื่องราวของคนที่นี่ เรือจำลองของเรือที่ใช้ติดต่อค้าขายในในสมัยโบราณ ชุดแต่งกายประจำชาติของอาณาจักรริวกิว แต่ที่ผมให้ความสนใจมากที่สุดในห้องนี้ก็คือสินค้าหรือของใช้ต่างๆของทหารอเมริกันที่มาบุกยึดเกาะโอกินาว่า สำหรับที่นี่แล้วมันเป็นเหมือนความเจ็บช้ำ เคียดแค้น ชิงชัง สังเกตได้จากภาพถ่ายที่ถูกแสดงในงานนี้พร้อมกับคำเขียนที่บอกประมาณว่า โอกินาว่าภายใต้กฎหมายอเมริกัน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆก็จะมีรูปธงอเมริกันอยู่ (หลายๆคนคงทราบอยู่แล้วว่าคนญี่ปุ่นนั้นเกลียดอเมริกันขนาดไหน) หรือแม้แต่จะเป็นการเข้ามาของดนตรีร็อค บุหรี่ ฯลฯ ก็ถูกจัดแสดงในโซนนี้ด้วย และเมื่อดูภาพต่างๆก็พอจะรู้สึกถึงความที่คนที่นี่ต้องอดทนต่อการกดขี่ข่มเหงของทหารอเมริกัน (ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรหรือหน่วยงานใด เอิ๊กๆ)

 2. Natural History Gallery จัดแสดงถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆบนเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์ เปลือกหอยต่างๆ นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ต้นไม้ หินต่างๆตามพื้นในเกาะ  หรือแม้กระทั่งลักษณะของคนยุคดึกดำบรรพ์ ฯลฯ อิอิ แต่ที่ชอบคือมีจอ LCD ประจำจุดต่างๆ เพื่อใช้อธิบายความเป็นมาของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้วย ผมไม่แน่ใจว่าที่เมืองไทยมีแล้วหรือยัง เด๋วกลับไปต้องไปดูบ้างแล้วอ่ะ เล็งมานานแล้วแต่ไม่ค่อยได้ว่างไปเลยที่กรุงเทพ อิอิ

 

3. เมื่อเดินมาจากห้องที่แล้วก็จะมาพบกับห้อง Archaeology Gallery ในห้องนี้จะได้เรียนรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยโบราณ สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องปั้นดินเผา ในโซนนี้ทำให้นึกถึงหม้อบ้านเชียง เอิ๊กๆๆ หรือตามที่ต่างๆที่ขุดพบเครื่องใช้โบราณ เหตุผลหน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าหม้อไหที่ขุดพบที่นี้นั้นลักษณะเหมือนกับที่ผมเคยเห็นที่เมืองไทยเลยครับ อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของศิลปะของจีนนั้นกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ในแถบภูมิภาคนี้ก็เป็นได้ และจุดที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ จุดที่แสดงภาพส่องกล้องจุลทรรศน์ของแมลง มันเป็นเหมือนความผสมผสานความเป็นไฮเทคโลยี วิทยาศาสตร์ และศิลปะ ได้อย่างลงตัว

 

4. Arts and Crafts Gallery ในโซนนี้นั้นจะแสดงถึงความงดงามทางศิลปวิทยาที่ถูกบรรจงแต่งแต้มวาดลวดลายตามสิ่งของต่างๆ ออกมาอวดผู้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นความวิจิตรของลายผ้าถักทอบนผ้าสำหรับตัดชุดแต่งกายของชาวริวกิว ภาพวาด งานถักทอต่างๆ หรือแม้กระทั่งของเล่นเองก็ตาม

5. History Gallery จัดแสดงวัสดุต่างๆ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณาจักรริวกิวจนมาถึงยุคใหม่ การเฝ้ามองมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น ช่างเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลในการศึกษาประวัติศาสตร์ของโอกินาว่าอย่างยิ่ง

6. Folklore Gallery มาถึงห้องสุดท้ายกันแล้วนะครับ สิ่งของพื้นเมืองต่างๆมากมายถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่ก่อนยุคของสงครามที่เต็มไปด้วยความเสียใจของผู้คนที่นี่ แต่สิ่งที่ถูกจัดว่าเป็นนวัตกรรมสมัยนั้นยังคงมีชีวิตอยู่และถูกจัดให้แสดงถึงภูมิปัญญาของชนรุ่นก่อนอยู่ในโซนนี้ต่อไป

มาถึงตอนนี้เราก็เดินครบทุกห้องทุกจุดในห้องแสดงงานหลักแล้วนะครับ จากนั้นคณะลูกทัวร์ทั้งสามก็ได้สักสองเหนื่อยในการศึกษาความเป็นมาของประวัติศาสตร์ของโอกินาว่าแห่งนี้ ก็นั่งพักสักครู่เตรียมสภาพร่างกายไปเที่ยวต่อ อิอิ คราวนี้เราออกมาทางประตูอีกด้านนึง ถ่ายภาพเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วเราก็ข้ามถนนไปซังเอ (San-A Naha Main Place) ซึ่งเป็นห้างค่อนข้างใหญ่ (แต่อย่าให้เอาไปเปรียบกับกรุงเทพเลยนะครับ ที่บ้านเราใหญ่กว่าเยอะ) และก็ไปกินข้าวเที่ยง ซึ่งมีผมกับพี่อุเท่านั้น เนื่องจากอัลมาคินั้นทานไม่ได้ เพราะถือศีลอด น่าสงสารจริงๆ ไม่ได้กินข้าวไม่ได้กินน้ำ แถมต้องมาโดนผมทรมานอีกด้วย ฮ่าๆๆ แล้วก็เดินชอปปิ้งกันนิดหน่อย งวดนี้ได้ของที่อยากได้มานานแล้ว นั่นก็คือเสื้อกันยูวี ฮ่าๆๆ สอยมาเลย 1580 เยน จะได้ไม่ดำ ยอมลงทุน หลังจากที่เราทำภารกิจเสร็จก็ประมาณ 14.30 น. ก็เดินไปขึ้นรถไฟกลับ OIC เช่นเดิมเมื่อถึงสถานี Gibo ตอนบ่ายสามนิดๆ ก็ต้องเดินตากแดดกลับ OIC แต่ไม่กลัวแล้ว เนื่องจากผมมีเสื้อกันยูวี ฮ่าๆๆ 

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหนื่อยเหมือนกัน ก็มีแอบคิดถึงพี่บิ๊กกับพี่น้องบ้าง เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไปเรียนต่างประเทศคนเดียวเลย แล้วต่อไปผมอยากเรียนดร.ต่อ ผมจะไปเรียนไหวไหมเนี่ย เฮ้อ.... ก้าวเล็กๆของเราในวันนี้ มันจะส่งให้เราสามารถก้าวที่ใหญ่ได้ สู้ๆ 

ภาพถูกจัดแสดงไว้ที่  http://foh9.multiply.com/photos/album/85/20090829_Okinawa_perfectural_Museum

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ที่ http://www.museums.pref.okinawa.jp/english/museum/exhibitions/index.html

3 comments:

r s said...

เหมือนไปเที่ยว ด้วยเลยง่ะ
ชอบที่สุด ก้อ ผิวอันบอบบาง เนี้ยล่ะน๊า
ช่างตรงกันข้ามสุดๆ อิอิ

ปล. จะติดตามอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ

jook jin said...

เหงาล่ะซี่? อิิอิ

ekavit santad said...

ละเอียดดีจริงๆ